ชัยชนะของ ญี่ปุ่น เหนือเยอรมัน เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายพอสมควร โดยเฉพาะอีกฝั่งมีดีกรีเป็นถึงแชมป์โลก 3 สมัย และเป็นการพิสูจน์เรื่องของเลือดซามูไร
ใครเล่าจะกล้าฟันธง ว่า ญี่ปุ่น จะประเดิม ฟุตบอลโลก ด้วยการชนะเยอรมัน เพราะแค่คิดว่าจะเอาผลเสมอ หรือแพ้แบบหวุดหวิด ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าจะเกิดขึ้นได้มากกว่า แต่ทัพ ซามูไร เปลี่ยนสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้
การมาลุยฟุตบอลโลกครั้งที่ 7 ของพวกเขา หนนี้ หลายคนต่างปรามาสว่าพวกเขาจะต้องตกรอบแรกอย่างแน่นอน โดยเฉพาะการต้องอยู่ใน กรุ๊ป ออฟ เดธ ร่วมกับ เยอรมัน, คอสตาริก้า และสเปน ซ้ำร้ายยังถูกมองว่าจะเก็บแต้มได้หรือไม่ด้วยซ้ำ
ไม่ใช่ใครที่ดูถูกญี่ปุ่น แต่ด้วยความเป็นเอเชีย แต่โลกต่างมองญี่ปุ่นว่าเป็นแค่ไม้ประดับจากสถิติที่ผ่านมา พวกเขา ที่ตลอด 6 ครั้งก่อนหน้านี้ ไปได้ไกลสุดเพียงแค่รอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้น
– จุดเริ่มต้นที่เหมือนว่าซ้ำรอย
ครึ่งแรกดูเหมือนว่า ญี่ปุ่นเองจะลงสนามด้วยความไม่เกรงกลัว เยอรมัน โดยเฉพาะการที่เกือบจะได้ประตูออกนำไปก่อนจาก ไดเซน มาเอดะ แต่กลับโดนริบ เพราะล้ำหน้า ก่อนจะมาเสียจุดโทษ และสุดท้าย อิลกาย กุนโดกัน ที่ยิงเข้าไป
ยิ่งเมื่อช่วงท้ายครึ่งแรก เยอรมันเหมือนได้ใจ เดินหน้าโหมเข้าใส่อย่างต่อเนื่องและเกือบได้ประตูนำห่างอยู่หลายครั้งแต่สกอร์ก็ถูกหยุดไว้ที่ 1-0 และแน่นอนว่าหลายคนมองว่า มันยากเหลือเกินที่ ญี่ปุ่นจะกลับมา
– อะไรที่ฆ่าเราไม่ตาย มันจะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น
ครึ่งหลังเยอรมันยังคงเหนือกว่า และเดินหน้าเข้าใส่ แต่การแก้เกมของ ฮาจิเมะ โมริยาสุ อดีตผู้ช่วยของ อากิระ นิชิโนะ ในฟุตบอลโลกครั้งก่อน จัดการแก้เกมอย่างต่อเนื่อง ปล่อยของออกมาแสดงให้เห็นว่าไม่ยอมแพ้
และสุดท้าย ตัวสำรองอย่าง ทาคุมิ มินามิโนะ และ ริตสึ โดอัน ก็สำแดงเดชจนนำมาซึ่งประตูที่เสมอ ก่อนที่เจ้าจากัวร์ ทาคุมะ อาซาโนะ จะมายิงประตูชัยให้ ญี่ปุ่นแซงคว้าสามแต้มไปได้หน้าตาเฉย ชนิดที่ใครก็ไม่อยากเชื่อ
– ภารกิจเขย่าโลก กับเป้าหมายแชมป์โลกในปี 2050
แน่นอน ว่าญี่ปุ่นชุดนี้ ถือว่าเป็นชุดที่ถูกคาดหวังสูง หลังจากที่ผ่าน โกลเด้น เจเนเรชั่น ก่อนหน้านี้ ที่มีทั้ง ชินจิ คางาวะ, เคสุเกะ ฮอนดะ หรือก่อนหน้านั้น อย่าง ชินจิ โอโนะ, ฮิเดโตชิ นากาตะ และ จุนอิจิ อินาโมโตะ เป็นต้น
แต่สำหรับชุดนี้มันยิ่งไปกว่านั้น เห็นได้จากขุมกำลังที่มีแข้งจากต่างแดน และนักเตะหลายรายที่เริ่มแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถสร้างความแตกต่างในฟุตบอลระดับท็อปได้มากขึ้น จากแต่ก่อนเป็นแค่องค์ประกอบ แต่ตอนนี้หลายคน อาทิ คาโอรุ มิโตมะ, ทาเคฮิโร่ โทมิยาสุ, ริตสึ โดอัน
แม้มันอาจจะดูห่างไกลและยากที่จะพูดว่า ตอนนี้พวกเขามีโอกาสคว้าแชมป์โลกที่กาตาร์ แต่เป้าหมายของพวกเขาในปี 2050 ที่จะเป็นแชมป์โลก มันเริ่มเห็นถึงขั้นบันไดที่พวกเขาสร้างมาโดยตลอด ในขณะที่ทีมอื่นๆ เหวี่ยงไปเหวี่ยงมา แต่พวกเขาเริ่มยืนระยะอย่างมั่นคง หมดคนนี้ คนนี้แก่ จะมีใครมาต่อ คนที่อายุน้อยก็พยายามถีบตัวเองไปบ่อน้ำที่กว้างกว่าเดิมอย่างเจลีก เมื่อไปมาแล้ว นำประสบการณ์มาถ่ายทอดต่อให้รุ่นน้องในเจลีกต่อไป
การร่วมมือร่วมใจ ไม่ได้มองแค่ตัวเองแต่ส่งต่อกันรุ่นสู่รุ่น คือเครื่องหมายการค้าของพวกเขา และทำให้ คำว่าการจะเป็นแชมป์โลกภายในปี 2050 อาจจะไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้
– เป็นไปไม่ได้ หรือไม่มีทางเป็น
แน่นอนว่า อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดเดาได้ ชัยชนะเหนือเยอรมัน อาจจะถูกมองว่าเป็นแค่เรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นได้ในฟุตบอล อีกสองนัดพวกเขาอาจจะพลาดท่าพ่ายแพ้และตกรอบ
แต่สิ่งหนึ่งที่ตอนนี้ ทัพซามูไร ได้แสดงให้เห็น ก็คือพวกเขาพร้อมแล้วที่เขย่าโลก แม้จะไม่ได้ก้าวไปเป็นเบอร์ 1 ของโลก แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาแสดงให้เห็นคือ พวกเขาจะไม่ใช่ไม้ประดับอีกต่อไป และต่อให้คุณเป็นเบอร์ 1 ของโลก มาเจอญี่ปุ่น มันก็ไม่ใช่เกมที่ง่ายอีกต่อไปหลังจากนี้
พวกเขาอาจจะเคยผิดพลาด ล้มเหลว เสียน้ำตา และอาจจะดูห่างไกลจากเป้าหมาย แต่ตอนนี้โลกน่าจะรู้จักญี่ปุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ