การเข้ามาของ มาซาทาดะ อิชิอิ ทำให้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยกระดับกลับมาเป็นทีมระดับแชมป์อย่างแท้จริง และอะไรคือบทพิสูจน์ของพวกเขาหลังจากนี้?
การทิ้งห่าง 5 คะแนน ของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของ มาซาทาดะ อิชิอิ ในตารางคะแนน ไทยลีก หลังผ่านเลกสองไปได้ไม่กี่นัด น่าจะแสดงให้เห็น ว่า ณ ตอนนี้ โอกาสการคว้าแชมป์ของบุรีรัมย์ แทบจะเป็น 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว
พิจารณา จากฟอร์มการเล่น ขุมกำลัง รวมถึง ความพร้อมต่างๆ หากไม่เกิดอุบัติเหตุ อะไร แชมป์ไทยลีก จะถูกนำไปตั้งที่ “ปราสาทสายฟ้า” อีกครั้ง
ผลงานทั้งสี่นัดที่ผ่านมา ในปีนี้ ของบุรีรัมย์ พิสูจน์ได้เป็นอย่างดี ในวันที่เข้าฟอร์ม ใครก็หยุดยาก หรือวันที่ หลุดจากมาตรฐาน พวกเขาก็ยังสามารถเก็บชัยชนะได้
สภาพทีมที่ในเลกแรก มีจำนวนผู้เล่นค่อนข้างจำกัด แดนหน้า ยิงประตูได้น้อย แผงหลังสลัดกันเจ็บจนต้องจับกองกลางไปเล่น กองหลัง จับแบ็คขวาไปเล่น แบ็คซ้าย ได้ถูกแก้ไข ในช่วงระหว่างเลก จากนักเตะใหม่ ที่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นหน้าใหม่อย่าง โจนาธาน โบลิงกิ และ อายุบ มาชิก้า
หรือหน้าเก่าที่กลับมาใหม่อย่าง ธีราทร บุญมาทัน และ ศศลักษณ์ ไหประโคน บอกได้เลยว่า ณ ตอนนี้ เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะมีทีมไหนในประเทศไทย สามารถหยุดความร้อนแรงของบุรีรัมย์ได้
แล้วบทพิสูจน์หลังจากนี้ของบุรีรัมย์ คืออะไร?
– บทพิสูจน์แรก การสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้ง ในเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก
แน่นอนว่าบทพิสูจน์แรก ที่จะมาถึงก็คือ ช่วงเวลาสองเดือนหลังจากนี้ ที่พวกเขามีคิว ต้องยกพลไปเยือน เกาหลีใต้ เพื่อเผชิญหน้ากับ แดกู เอฟซี เพราะนี่อาจจะเป็นของจริง ของพวกเขา
บุรีรัมย์ ห่างหายจากการเล่นใน เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มไปสักพัก และปีก่อน ก็ไม่ได้มีชื่อแม้แต่การร่วมเล่นในรอบเพลย์ออฟเลยด้วยซ้ำ
นี่เป็นอีกบททดสอบ ที่พวกเขาจะต้องเจอกับ คนที่อาจจะรู้ไส้รู้พุงของบุรีรัมย์ ดีที่สุดคนหนึ่งอย่าง อเล็กซานเดร กามา ที่จะตัดสินกันแค่นัดเดียว ท่ามกลางอุณหภูมิอันหนาวเหน็บที่เกาหลีใต้
บุรีรัมย์ ที่เคยสร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้าไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย รายการนี้ จะฝ่าด่าน เพื่อแทรกตัวเข้าไปรอบแบ่งกลุ่มได้อีกครั้งหรือไม่
– บทพิสูจน์ต่อมาของพวกเขาก็คือ การสร้างระบบทีมอย่างแท้จริง
ในช่วงที่ทีมประสบความสำเร็จมากมาย หลายครั้งที่บุรีรัมย์ ถูกค่อนขอดว่าเป็นเพราะระบบ ดีโอโก้ หลุยส์ ซานโต้ ที่เป็นเดอะ แบก ยิงประตูถล่มทลายพาทีมคว้าแชมป์มาครองหลายรายการ
ณ เวลานี้ มันคืออีกหนึ่งบทพิสูจน์ของพวกเขา ที่ต้องการสร้างทีมด้วยระบบอย่างแท้จริง โดยไม่ต้องหวังพึ่งพาใครคนใดคนหนึ่ง ณ ตอนนี้ มันเหมือนเป็นก้าวแรกของการพิสูจน์คำเหล่านี้ และสุดท้ายทุกอย่างมันก็ตัดสินกันที่ความสำเร็จ
– บทพิสูจน์ที่ 3 การสร้างเด็กรุ่นใหม่
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ บุรีรัมย์ ได้สร้างเด็กในระดับ อีลิต ขึ้นมาแล้วมากมาย ไล่ตั้งแต่ สุภโชค สารชาติ, ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา รวมถึง อีกหลายแข้ง อย่าง อิรฟาน ดอเลาะ, รัตนากร ใหม่คามิ และหลังจากนี้ล่ะ
เพราะในช่วงก่อนเปิดเลกสอง นอกจาก มาซาทาดะ อิชิอิ ที่เข้ามาคุมทีมชุดใหญ่แล้ว ยังมี มาซายูกิ มิอุระ ที่แยกทางกับ ขอนแก่น เอฟซี และกลับมาที่บุรีรัมย์ อีกครั้ง มันเป็นบทพิสูจน์ชั้นดี ว่า บุรีรัมย์ เวย์ ภายใต้การทำงานของโค้ชจากแดนอาทิตย์ อุทัย จะสามารถสร้างเด็กมาประดับวงการ ดันขึ้นชุดใหญ่ได้ต่อเนือง เพื่อให้เกิดความเป็นระบบอย่างแท้จริงได้หรือไม่
สิ่งต่างๆเหล่านี้ ทุกอย่าง ต่างต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก เพราะแน่นอนว่า ไม่มีใครที่สามารถยืนค้ำฟ้าไปได้ตลอด มีสำเร็จก็ต้องมีล้มเหลว
สำนวนที่บอกว่า “ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” ทุกอย่างอาจจะต้องใช้เวลา บุรีรัมย์ จะอดทน และยกระดับทีมกลับมาได้อย่างยิ่งใหญ่ และยืนยาวไม่ร่วงจากจุดสูงสุด เหมือนช่วงก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ เวลาเท่านั้นที่จะเป็นตัวบอก