นับตั้งแต่ทะลุเข้าชิงชนะเลิศในยูโร 1996 สาธารณรัฐเช็กก็สถาปนาตัวขึ้นเป็นทีมระดับแถวหน้าของยุโรป โดยมีตัวชูโรงอย่างโธมัส โรซิกกี้, พาเวล เน็ดเว็ด, แยน โคลเลอร์, มาเร็ค ไฮน์,มิลาน บารอสและวลาดิเมีย ซมิเซอร์ อย่างไรก็ตามเมื่อบรรดาสตาร์เหล่านี้เริ่มโรยราลงไปชื่อชั้นอันน่าเกรงขามของพวกเค้าก็ลดน้อยลง และต้องเดินทางไปร่วมแข่งขันยูโร 2008 ด้วยบรรดานักเตะสายเลือดใหม่
เช็กชุดดังกล่าวไม่มีพาเวล เน็ดเว็ดจอมทัพคนสำคัญที่ประกาศอำลาทีมชาติไป แถมตัวปั้นเกมอย่างโธมัส โรซิกกี้ก็ดันมีอาการบาดเจ็บเสียอีก ทำให้พวกเค้าเหลือเพียงสองกองหน้าตัวเก๋าอย่างแยน โคลเลอร์และมิลาน บารอสเท่านั้น ทำให้กุนซือรุ่นเดอะอย่างคาเรล บรูคเนอร์ต้องเรียกตัววาคลาฟ สเวร์กอสกองหน้าจากบานิค ออสตาว่าที่เพิ่งจะผ่านเกมทีมชาติชุดใหญ่มาแค่ 2 นัดเข้ามาเสริมกำลัง
พวกเค้าประเดิมเกมแรกด้วยการเล่นกับสวิตเซอร์แลนด์ในวันที่ 7 มิถุนายน 2008 แต่อย่างที่บอกไปว่าเช็กชุดนี้แทบไม่มีแข้งดังที่จะสร้างความหนักใจให้กับคู่แข่งได้เลย แต่นั่นกลับทำให้สเวร์กอสหัวหอกวัย 25 ปีได้แจ้งเกิด เมื่อถูกเปลี่ยนตัวลงสนามแทนหัวหอกตัวความหวังอย่างแยน โคลเลอร์ แล้วในนาที 70 สเวร์กอสก็ตะบันประตูโทนให้เช็กเอาชนะไปได้ 1-0 นั่นถือเป็นการประเดิมสกอร์แรกในนามทีมชาติ และด้วยการใช้เวลาในสนามเพียง 13 นาทีในการสร้างความแตกต่างในสนามก็ทำให้แฟนบอลเช็กจำนวนไม่น้อยต่างคาดหวังว่าวาคลาฟ สเวร์กอสผู้นี่นี้แหล่ะที่จะก้าวขึ้นมาเป็นสตาร์ลูกหนังในเจนเนอเรชั่นต่อไป
แต่สุดท้ายมันกลับไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อเช็กแพ้อีกสองเกมรวดตกรอบแรกยูโร 2008 อย่างน่าผิดหวังโดยที่สเวร์กอสไม่ได้มีส่วนร่วมกับเค้าเลย แม้จะยังถูกเรียกมาติดทีมชาติอีกเป็นระยะๆในช่วงปี 2008-2010 แต่ดูเหมือนเค้าจะไม่ปังอย่างที่คาดเมื่อดูจากสถิติการลงรับใช้ชาติไปทั้งหมด 11 นัดยิงได้แค่ 3 ประตู ในขณะเดียวกันนั้นเองเช็กก็พลาดคว้าตั๋วไปเล่นฟุตบอลโลก 2010 รอบสุดท้าย แล้วนับแต่นั้นเป็นต้นมามาสเวร์กอสก็ไม่เคยกลับมาติดทีมชาติอีกเลย