คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กัปตัน “แชมป์เก่า” ทีมชาติโปรตุเกส คงหนีไม่พ้นมีความรู้สึกการตกรอบ ยูโร 2020 หนนี้คือทั้ง “คาใจ“ และ “เสียดาย” ในเวลาเดียวกัน
“ฝอยทอง” ทีมชาติโปรตุเกส ของกัปตัน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไม่ได้เล่นพลาดอะไรเลย ตรงกันข้ามรู้วิธีรับมือกับเกมรุกอันสุดโหดของ เบลเยียม ได้อยู่หมัดจนไม่มีโอกาสยิงเข้ากรอบจนเกือบจะจบครึ่งแรกอยู่แล้ว
โดยโอกาสยิงเข้ากรอบ “หนแรก” ของ ทีมชาติเบลเยียม นั้นเป็นประตูขึ้นนำและกลายเป็นประตูชัยซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาบาปก่อนหมดครึ่งแรกแค่ 3 นาที
แฟร์นานโด ซานโตส กุนซือ โปรตุเกส เจอชุดที่ทำให้ระบบ 4-3-3 ไม่หลวมเหมือนในเกมพ่าย เยอรมัน ด้วยการใช้ เรนาโต้ ซานเชส และ เจา มูตินโญ่ ที่แน่นกว่าออกสต๊าร์ต
การถอยไปตั้งรับในแดนตัวเอง บีบให้ฝั่ง “ปีศาจแดงแห่งยุโรป” ที่มีตัวเร็วๆจี๊ดๆมีพื้นที่น้อย จะลากเลื้อยใช้ความคล่องก็พาไปไม่ถึงพื้นที่อันตราย เป็นแท็คติกส์ที่ โปรตุเกส ใช้เพื่อจะได้สวนกลับเหมือนที่พบ ฝรั่งเศส
สิ่งที่อยู่นอกเหนือการซ้อมและไม่มีในตำราคือความสามารถเฉพาะตัวที่ผู้เล่น เบลเยียม มีหลายคนแต่หวยมาออกที่ “อาซาร์คนน้อง”
เทคนิคลูกยิงของ ธอร์กาน อาซาร์ นั้น ที่กดหลังเท้าบอลส่ายทำให้ รุย ปาทริซิโอ้ ทิ้งน้ำหนักไปที่ขาขวาพอรู้ตัวอีกทีบอลผ่านมือไปแบบเสี้ยววินาที
ก่อนหน้านี้ 40 กว่านาที เกมรับของทีม โปรตุเกส จำกัดการเล่นหน้าเขตโทษของผู้เล่น เบลเยียม ได้ตามใบสั่ง
ใครจับบอลปุ๊บเจอรุมเจอตามตอด แต่จังหวะนี้พลาดตรงที่ไปเทแย่งบอลแล้วเจอแทงกลับไปให้ อาซาร์ จนยืนโล่งคนเดียวนี่แหละครับ
แล้วพอคนจะตกรอบทำอะไรก็มือไม่ขึ้น ภายในนาทีเดียว (นาที 82 และ 83) โปรตุเกส ชวดโอกาสตีเสมอ ดิอาส โหม่งจ่อๆเต็มกบาลไปตรงตัว คูร์กตัวส์ ที่เซฟเหลือเชื่อและ เกร์เรโร่ ยิงชนเสา
นึกภาพรอบหน้า เบลเยียม เจอ อิตาลี บอลบุกเจอบอลบุก ต่างฝ่ายก็ต่างขยันเพรส สนามจะลุกเป็นไฟขนาดไหน
ในขณะที่คู่แรกนั้นเป็นอีกครั้งที่เราได้เห็นว่าผลงานสวยหรูในรอบแบ่งกลุ่มไม่สามารถเอามาเป็นแต้มต่อในรอบน็อกเอาท์ได้เลย
อิตาลี เป็นทีมแรกที่เจอสัมผัสสยองก่อนใคร ต้องเล่น 120 นาทีและเกือบแพ้ ออสเตรีย ถ้าไม่โดน VAR ริบประตู
จนถึงคิวของ เนเธอร์แลนด์ ซึ่งแบเบอร์ชนะ 3 นัดรวดทำหลายคนผ้าป่าคว่ำแพ้พลิกล็อก สาธารณรัฐเช็ก 2-0 ทีมที่เข้ารอบมาเป็นอันดับ 3
จุดเปลี่ยนที่ทำให้ เราตื่นจากอาการง่วงนอนคือใบแดงของ มัตไธจ์ส เดอ ลีกท์ ที่เสียหลักลื่นและกลัว ปาทริค ชิค หลุดเลยแอบเนียนใช้มือปัดบอล
ผู้ตัดสินเปลี่ยนจากใบเหลืองเป็นใบแดงทันทีหลังดู VAR เพราะกองหลัง ยูเวนตุส เป็นตัวสุดท้าย ไม่มีทางตีความเป็นอื่นไปได้เลย
โดนไล่ออกนาที 56 กับเวลาอีกร่วมครึ่งชั่วโมงเป็นงานหยาบของ แฟรงค์ เดอ บัวร์ อย่างแท้จริง เพราะขนาด 11 ตัวเท่ากันก็ไม่ได้เหนืออะไรกว่าเลย
ก่อนเหตุการณ์ใบแดง “อัศวินสีส้ม” มีโอกาสที่ดีที่สุดของเกมนี้เมื่อ มาเล็น หลุดเดี่ยวไปดวลกับผู้รักษาประตูแต่จังหวะแตะหลบหนีอ่านง่ายเกินเลยถูก โทมัส วาคลิก ล้มตัวตะปปอยู่หมัด
พอมาโดน 1-0 ทีนี้ก็ถอดใจ โค้ชก็ไม่ได้เปลี่ยนตัวให้ทีมดีขึ้นกว่าเดิม ทรงบอลดูไม่ค่อยเขี้ยว เหมือนเล่นบอลหน้าเดียวไร้ความซับซ้อนทำห้ฝั่ง เช็ก ที่เล่นมีวินัยจึงตามเก็บงานง่ายขึ้น
จนกระทั่งลูก 2 โดนแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยถูกเลี้ยงผ่านหน้าไปง่ายๆ 2 คนจนกระทั่ง ปาทริค ชิค ที่วันนี้เล่นโคตรเด่นยิงตอกฝากโลง เป็นประตูที่ 4 รั้งรองดาวซัลโว ยูโร ไปแล้ว
ยูโร 2020 หนนี้คาดเดายากว่าใครจะเป็นแชมป์ เพราะบรรดาทีมที่เป็นรองดูแล้วท่าทาง “ดื้อยา” กันทั้งนั้น…