“ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด พลิกสถานการณ์กลับมาเป็นฝ่ายเข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก หลังเปิดรังเอสตาดิโอ ซานติอาโก้ เบร์นาบิว ยิงแซงชนะ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ช่วงต่อเวลาพิเศษ 3-1 ในเกมรอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 เมื่อคืนวันที่ 4 พ.ค.
เกมนี้ คาร์โล อันเชลอตติ กุนซือ เรอัล มาดริด มีการปรับทัพบางตำแหน่ง โดยแนวรับให้ นาโช่ แฟร์นันเดซ ลงไปยืนเป็นกองหลังคู่กับ เอแดร์ มิลิเทา ส่วนแนวรุกให้ เฟเดริโก้ วัลเวร์เด้ ลงไปประสานงานกับ วินิซิอุส จูเนียร์ และ คาริม เบนเซม่า หลังจากนัดแรกบุกไปเยือนมาก่อนด้วยสกอร์ 3-4
ด้านทีมเยือนของกุนซือ “เป๊ป” โจเซฟ กวาร์ดิโอล่า ยังคงให้จัดผู้เล่นชุดใหญ่ให้พวกแข้งหลักลงสนามทั้งหมดเลย นำทัพโดย รูเบน ดิอาส, เควิน เดอ บรอยน์, ริยาด มาห์เรซ และ กาเบรียล เชซุส
ในช่วงครึ่งแรกไม่มีการยิงประตูเกิดขึ้น เสมอ 0-0 เข้าสู่ครึ่งหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขึ้นนำไปกอ่นจากจังหวะโต้กลับ และเป็น แบร์นาร์โด้ ซิลวา จ่ายบอลให้ ริยาด มาห์เรซ ซัดผ่านมือ ธีโบต์ กูร์ตัวส์ ผู้รักษประตูเจ้าบ้านขึ้นไปตุงตาข่ายในนาที 73 เข้าสู่ช่วงท้ายเกมทำท่าว่าจะเป็นฝั่ง “เรือใบสีฟ้า” ได้ผ่านเข้าชิงอยู่แล้ว แต่ เรอัล มาดริด ตามตีเจ๊าได้จากจังหวะที่ คาริม เบนเซม่า เกี่ยวบอลกำลังจะออกหลังตบเข้ากลางให้ โรดรีโก้ โกเอส จิ้มบอลตัดหน้า เอแดร์ซอน โมราเอส ผู้รักษาประตูทีมเยือนเข้าไปตุงตาข่ายในนาที 90 หลังจากนั้น “ราชันชุดขาว” มายิงแซงขึ้นนำได้จากจังหวะที่ มาร์โก อเซนซิโอ เปิดบอลโด่งจากทางฝั่งขวาให้ โรดรีโก้ โกเอส ขึ้นโหม่งเข้าไปตุงตาข่าย และเป็นการซัดเบิ้ลเหมาคนเดียว 2 ประตูของกองหน้าดาวรุ่งที่ถูกเปลี่ยนตัวลงมาเล่นในช่วงครึ่งหลังไปเลยด้วย
จบ 90 นาที เรอัล มาดริด เป็นฝ่ายยิงแซงชนะ 2-1 รวมถึง 2 นัด เสมอ 5-5 จึงต้องเล่นกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที และเป็นฝั่ง “ราชันชุดขาว” ยิงหนีห่างออกไปอีกลูกจากจังหวะที่ รูเบน ดิอาส ไปจิ้มข้อเท้าของ คาริม เบนเซม่า ล้มลงในกรอบเขตโทษต่อหน้าต่อตาของผู้ตัดสิน จึงนกหวีดให้เป็นลูกจุดโทษทันที และเป็น เบนเซม่า ลุกขึ้นมาสังหารเข้าไปตุงตาข่ายในนาที 95 หลังจากนั้น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่สามารถยิงไล่ตามตื้นได้
จบ 120 นาที เรอัล มาดริด เป็นฝ่ายชนะ 3-1 รวมผล 2 นัด “ราชันชุดขาว” ได้เฮด้วยสกอร์รวม 6-5 จึงได้ตบเท้าผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศไปพบกับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่สต๊าด เดอ ฟรองซ์ ชานกรุงปารีส ช่วงคืนวันที่ 28 พ.ค.นี้ และเป็นการผ่านเข้าชิงเป็นครั้งที่ 17 เพื่อตามล่าบัลลังก์ “เจ้าสโมสรยุโรป” เป็นสมัยที่ 14 ด้วย ส่วน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จอดป้ายเพียงรอบตัดเชือกชวดผ่านเข้าชิงเป็นฤดูกาลที่ 2 ติดต่อกันไปแบบน่าเสียดาย