ตำนานมือกาวแห่งยุค 90: มาร์ค บอสนิช
ตลอดระยะเวลา 26 ปีที่คุมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีเพียงครั้งเดียวที่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เห็นว่าจำเป็นต้องซื้อนักเตะที่เขาเคยปล่อยตัวออกไปจากสโมสรไปก่อนหน้านี้ เดวิด เบ็คแฮม ยาป สตัม เจอราร์ด ปิเก้ และคาร์ลอส เตเบซ ไม่ใช่นักเตะที่ทำให้ผู้จัดการทีมสัญชาติสก็อตผู้เป็นตำนานเห็นว่าเหมาะสมที่จะเรียกตัวกลับมาหลังจากขายออกไป นักเตะเพียงคนเดียวที่เซ็นสัญญากับยูไนเต็ดสองครั้งโดยเฟอร์กูสัน คือ มาร์ค บอสนิช ผู้รักษาประตูชาวออสเตรเลีย
แต่บอสนิชก็เป็นผู้เล่นที่เฟอร์กูสันอธิบายไว้ในอัตชีวประวัติเล่มที่สองของเขาว่าเป็น “มืออาชีพที่แย่มาก” ความขัดแย้งนี้นำไปสู่การอนุมานได้ว่าบอสนิชนั้นเป็นนักฟุตบอลที่น่าพิศวง แปลกแยก และน่าผิดหวังมากเพียงใด
ตำนานมือกาวนายนี้ คือใคร์ มาจากไหน?
บอสนิชเกิดและเติบโตในลิเวอร์พูลซึ่งเป็นย่านชานเมืองซิดนีย์ โดยได้ย้ายมาที่ประเทศอังกฤษครั้งแรกตั้งแต่สมัยวัยรุ่นและเข้าร่วมสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจากผ่านการทดสอบในปี ค.ศ. 1989 โดยเลือกสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเหนือสโมสรคู่แข่งแห่งเมอร์ซีย์ไซด์ เขาลงเล่นนัดแรกให้กับทีมชุดใหญ่ของยูไนเต็ดที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดเมื่อวันที่ 30 เมษายน โดยเสมอกันแบบไร้สกอร์ในบ้านกับสโมสรวิมเบิลดัน แต่ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีเหตุให้เขาต้องกลับไปที่บ้านเกิดของเขา
ด้วยความตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาใบอนุญาตทำงานที่ยุ่งยากด้วยวิธีการใดๆ ก็ตามที่จำเป็น บอชนิชได้ลงทะเบียนเรียนในมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ โพลีเทคนิค ในเมืองแมนเชสเตอร์ “ผมไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะได้เห็นภายในของห้องบรรยาย” เขาเขียนไว้ในปี ค.ศ. 2004 แต่ไม่นานนัก กองตรวจคนเข้าเมืองก็จับเขาได้ โดยลากเขากลับประเทศออสเตรเลียอีกครั้งและส่งเขาไปเกณฑ์ทหารในประเทศยูโกสลาเวีย
ปฐมบทแห่งการเริ่มต้นวงการลูกหนัง
ที่บ้านเกิด เขาเล่นฟุตบอลต่อ โดยเล่นให้กับสโมสรซิดนีย์ ยูไนเต็ด จนกระทั่งได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับอังกฤษเพื่อพำนักอาศัย หลังจากการแต่งงานโดยไม่ได้เกิดจากความรักกับหญิงชาวอังกฤษซึ่งต้องดำเนินไปอย่างยาวนานตราบเท่าที่จำเป็นเพื่อให้สำนักงานทะเบียนเห็นว่า “ไม่ใช่การแต่งงานแบบสัญญาจ้าง” บอสนิชก็ได้เซ็นสัญญากับสโมสรแอสตัน วิลล่าเพื่อกลับไปเล่นในพรีเมียร์ลีก
หลังจากปีแรกในการทำงานกับไนเจล สพิงค์ ผู้จัดการทีมคนใหม่ของทีมสิงห์ผงาด ฤดูกาลส่วนใหญ่ของเขาก็หมดไปกับการนั่งดูจากม้านั่งสำรองในขณะที่ทีมของเขาคว้าตำแหน่งรองแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยเป็นรองจากสโมสรเก่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ช่วงฤดูกาล 1993/94 เป็นช่วงเวลาที่บอสนิชเริ่มรุ่งเรืองขึ้นเป็นครั้งแรก โดยได้รับความไว้วางใจก่อนเพื่อนร่วมทีมหน้าใหม่ที่ไร้ประสบการณ์อย่างอูโก เอฮิโอกู และเกรแฮม เฟนตัน
แม้ว่าทีมของเขาจะทำผลงานในลีกได้แย่ โดยหล่นจากอันดับที่สองมาอยู่ที่อันดับที่สิบภายในระยะเวลาฤดูกาลเดียว แต่วิลล่าก็คว้าแชมป์ลีก คัพ ของปีนั้นได้ โดยเป็นถ้วยรางวัลใบแรกในสองถ้วยที่บอสนิชได้ชูในชุดสีม่วงแดงและน้ำเงิน วิลล่าต้องขอบคุณผู้รักษาประตูชาวออสซี่ผู้ถนัดใช้มือทั้งสองข้างที่ทำให้พวกเขาผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้อย่างปลอดภัยเนื่องจากเขาแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจุดโทษ โดยสามารถเซฟจุดโทษของสโมสรทรานเมียร์ได้สามครั้งในการตัดสินยิงจุดโทษหลังจากที่เสมอกัน 4-4 บอชนิชยังคงอยู่ในฟอร์มที่ดี โดยกลับมากัดทีมเก่าของเขาและขัดขวางไม่ให้สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ในประเทศ โดยที่วิลล่าเอาชนะทีมของเฟอร์กูสันไปได้ด้วยสกอร์ 3-1 ที่สนามเวมบลีย์
ยุคเริ่มผงาดของผู้รักษาประตูตัวฉกาจบอสนิช
ในฤดูกาลถัดมา มาร์ค บอสนิช เป็นผู้รักษาประตูหมายเลขหนึ่งของวิลล่าโดยชอบธรรม และที่นั่น จากตำแหน่งได้เปรียบในฐานะผู้รักษาประตู นักเตะแดนจิงโจ้ผู้นี้ก็ได้ประสบกับฟอร์มขึ้นๆ ลงๆ อย่างหนักในช่วงเจ็ดฤดูกาลเต็มของเขาในเบอร์มิงแฮม อีกทั้ง โชคในชีวิตส่วนตัวของบอสนิชก็แกว่งไปมาอย่างรุนแรงจากการยกย่องสรรเสริญไปสู่เรื่องน่าเศร้า
บ่อยครั้งที่เขาได้รับคำชมเชยจากแฟนบอลและผู้เชี่ยวชาญในผลงานของเขา ซึ่งบางครั้งก็ถูกมองว่าเป็นผู้รักษาประตูที่เก่งที่สุดในดิวิชั่น ทว่าอาชีพของเขาต้องแปดเปื้อนไปด้วยเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ในปี ค.ศ. 1996 เมื่อวิลล่าเล่นนอกบ้านกับสเปอร์ส และบอสนิชเห็นว่าเป็นการเหมาะสมที่จะตอบสนองต่อเสียงโห่ร้องจากแฟนบอลทีมเจ้าบ้านด้วยท่าแสดงความเคารพแบบนาซีอย่างอย่างโจ่งแจ้งและการปลุกเร้าด้วยคำว่า “ซีค ไฮล์” อย่างแจ้งชัด แม้กระทั่งเลือกที่จะเดินตบท้าวข้ามเขตโทษของตน ก่อนภายหลังจะอ้างว่าการกระทำดังกล่าวเป็นเพียง “การรับรู้ต่อการล้อเลียนของฝูงชน”
ด้วยความละอายที่คาดการณ์ความร้ายแรงของการกระทำของตนผิดไปอย่างมหันต์ พร้อมกับการดูหมิ่นเชื้อสายชาวยิวของเขาเองจนถูกตำรวจตักเตือน พร้อมโดนสมาคมฟุตบอลปรับเงิน 1,000 ปอนด์ และถูกตั้งข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการว่าประพฤติตัวไม่เหมาะสม บอสนิชทำอะไรไม่ได้เลยสำหรับการไถ่โทษ เขาจึงกลับมาการเพ่งความสนใจของตนไปที่ฟุตบอลแทน สามเดือนต่อมา สัญญาของเขากับวิลล่าจะสิ้นสุดลง และเขาจะตัดสินใจก้าวต่อไปในอาชีพของเขา ซึ่งเป็นก้าวที่จะเห็นเขาถอยหลังในหลายๆ แง่ เริ่มต้นด้วยการย้ายกลับไปที่แมนเชสเตอร์
เมื่อผู้รักษาประตูระดับตำนาน ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล จบการดำรงตำแหน่งของเขาที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยทริปเปิ้ลแชมป์แห่งประวัติศาสตร์ ตามมาด้วยการย้ายไปเล่นที่สปอร์ติ้งในประเทศโปรตุเกส บอสนิชคือผู้ที่เข้ามาอยู่ในตำแหน่งที่ว่างจากผู้เล่นชาวเดนมาร์กผู้ยิ่งใหญ่ ยูไนเต็ดชนะพรีเมียร์ลีกต่อไปด้วยคะแนนห่าง 18 แต้มที่เป็นสถิติในขณะนั้นและคว้าแชมป์อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพด้วยประตูเดียวของรอย คีน ซึ่งเพียงพอที่จะพาปาลเมราส คู่แข่งสัญชาติบราซิลของพวกเขากลับบ้าน แต่เฟอร์กูสันยังคงไม่มั่นใจในตัวบอสนิชซึ่งดูเหมือนจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็ได้ปล่อยตัวเขาออกจากทีม
ด้วยมัสซิโม ตาอิบี ที่ถูกส่งกลับอิตาลีอย่างรวดเร็วและด้วยความเร่งรีบหลังจากทำพลาดอย่างมากมาย และสโมสรก็ไม่สามารถพึ่งพาไรมอนด์ ฟาน เดอร์ ฮาวที่กำลังเกษียณอายุได้อีกต่อไป เฟอร์กูสันจึงคว้าตัวฟาเบียง บาร์กเตซ ผู้รักษาประตูแชมป์โลกฝรั่งเศสมา และด้วยเหตุนี้ นักเตะชาวออสเตรเลียผู้นี้จึงเล่นเกมสุดท้ายในทีมชุดใหญ่ให้กับสโมสรโดยไม่รู้ตัว และเป็นจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดอาชีพของบอสนิช
ในวันที่เกิดเรื่องอื้อฉาวของมือกาวตัวเก่ง
แม้จะเซ็นสัญญากับเชลซีในช่วงตลาดซื้อขายเดือนมกราคม ค.ศ. 2001 แต่เนื่องจากได้รับบาดเจ็บจนต้องนั่งดูจากข้างสนาม มาร์ค บอสนิช จึงต้องรอจนถึงฤดูกาลถัดไปโดยปริยายเพื่อโชว์ลีลาให้เดอะบลูส์ ถึงอย่างนั้น เขาก็ลงสนามได้เพียงน้อยนิดเท่านั้นก่อนที่จะถูกสโมสรไล่ออกและถูกแบนจากฟุตบอลโดยสิ้นเชิงเป็นเวลาเก้าเดือนหลังจากการทดสอบสารเสพติดมีผลเป็นบวกต่อโคเคน
บอสนิชประท้วงการสั่งแบน โดยอ้างความบริสุทธิ์ของเขา: “ผมยังคงยืนยันว่าในขณะที่มีการทดสอบยาเสพติดของผม ผมไม่ได้เสพโคเคน การเสพเกิดขึ้นหลังจากนั้น” บอสนิชเขียนในหนังสือ The Observer สองปีหลังจากการถูกแบนของเขาว่า “ผมทะเลาะกับแฟนสาว [ซูเปอร์โมเดล โซฟี แอนเดอร์ตัน] และตัดสินใจไปไนท์คลับ ผมได้พูดคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งต่อมายอมรับว่าเธอแอบเทยาลงในเครื่องดื่มของเธอ ผมคงจิบเครื่องดื่มในแก้วของเธอไปแน่ๆ” อย่างไรก็ตาม ข้อแก้ตัวของบอสนิชเรื่องความหลงลืมอย่างไม่น่าเชื่อของเขานั้นไม่สามารถช่วยฟื้นคืนอาชีพของเขาซึ่งดับมืดลงไปแล้วได้
แม้ว่าเขาจะต่อสู้เพื่อกลับมาอยู่ในระดับความฟิตแบบเดิมของเขาได้ในอีก 5 ปีต่อมา และได้เซ็นสัญญาระยะสั้นเพื่อเล่นให้กับสโมสรเซ็นทรัล โคสต์ มาริเนอร์ส และในปีต่อมากับสโมสรซิดนีย์ โอลิมปิค เบ้าหล่อก็ได้ถูกหล่อมาเป็นเวลานานแล้วและไม่มีการหวนกลับสู่วันแห่งความรุ่งโรจน์ของบอสนิช
การกลับมาในช่วงสั้นๆ นี้เกิดขึ้นหลังจากการเสพติดโคเคนที่ทำลายทุกสิ่ง ซึ่งสิ่งที่เลวร้ายที่สุด คือ การถูกกล่าวหาว่านักเตะชาวออสเตรเลียผู้นี้สูดโคเคนเข้าไปมากถึง 10 กรัมต่อวัน โดยคิดเป็นเงินราว 5,000 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์ และนำมาซึ่งสิ่งที่น่าจะเป็นผลอันเลวร้ายที่สุดจากการกระทำของเขาในช่วงเวลาที่น่าเสียใจในชีวิตของเขา รายงานอ้างว่าบอสนิชเกือบจะยิงพ่อของเขาด้วยปืนลม โดยเชื่อว่าเป็นผู้บุกรุกเข้ามาในบ้านของเขา ที่เขายังเล่นฟุตบอลอยู่ได้หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้นั้นยังคงเป็นเรื่องน่าพิศวงยิ่งนัก
บทส่งท้ายที่ทิ้งไว้เป็นตำนาน
ในท้ายที่สุด แม้ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาที่ดี มาร์ค บอสนิช และฟุตบอลก็ดูเหมือนว่าจะดีกว่าในยามที่ไม่ต้องมีกันและกัน รุ่งเรืองกว่าในยามที่ไม่ได้รับอิทธิพลจากอีกฝ่ายหนึ่ง ตามที่เขาเขียนไว้ในปี ค.ศ. 2004 ว่า “ผมไม่คิดถึงฟุตบอล ตอนแรก ผมคิดว่าผมเพียงกำลังตอบโต้กับวิธีที่ผมได้รับการปฏิบัติ ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมไม่ต้องการมัน ผมซาบซึ้งกับสิ่งที่เกมฟุตบอลทำให้กับผม … แต่ผมไม่ติดหนี้อะไรต่อฟุตบอลและฟุตบอลก็เช่นเดียวกัน”
อย่างไรก็ตาม เขาอาจเห็นมรดกของเขาในเกมในอีก 5 10 20 ปีจากนี้ ความกลัวยังคงมีอยู่ว่าวันหนึ่งบอสนิชอาจมองย้อนกลับไปที่อาชีพนักฟุตบอลของเขาและหวังว่าเขาจะไม่ปล่อยให้มันหลุดมือไปง่ายๆ – ส่วนหนึ่งเป็นเพราะในยามที่เขาท็อปฟอ์ม เขาเป็นผู้รักษาประตูที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมมาก