โดยปัจจุบัน สมาคมฯได้มีการชำระหนี้สรรพากร ไปแล้วประมาณ 100 ล้านบาท แต่ยังเหลือหนี้อีกจำนวนหนึ่ง ประมาณ 80 ล้านบาท
“ต้องทำความเข้าใจนะครับว่าเงินที่สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ สนับสนุนทีมฟุตบอล มี 3 ลีก ที่สมาคมฯ สนับสนุน คือ ไทยลีก หรือลีกสูงสุดของประเทศไทย สนับสนุนทีมละ 20 ล้านบาทต่อปี ส่วนในดิวิชั่น 1 สนับสนุน ทีมละ 3 ล้านบาทต่อปี และทีมในดิวิชั่น 2 สนับสนุนทีมละ 1 ล้านบาท ต่อปี แต่ที่ผ่านมาสมาคมฯ มีนโยบายว่าทีมในดิวิชั่น 1 และ ดิวิชั่น 2 จะต้องเดินทางออกไปแข่งขันเป็นทีมเยือน ไกลๆ ก็เลยมีนโยบายที่จะมอบเงินช่วยเหลือเป็นค่าเดินทาง สำหรับทีมในดิวิชั่น 1 ทีมละ 1 แสนบาทต่อนัดในกรณีที่ออกไปเป็นทีมเยือน ส่วนดิวิชั่น 2 ทีมละ 5 หมื่นบาท” สมยศ กล่าวเริ่ม
“ในปัจจุบันสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ประสบปัญหาเรื่องสภาพคล่อง เงินที่ใช้ในการบริหารสมาคมฯ เนื่องจากจะต้องจ่ายเงินค่าภาษีค้างจ่ายให้กับสรรพากร จากการบริหารงานในอดีตนับร้อยล้านบาท ทำให้สมาคมฯ ต้องสำรองเงินไว้จ่ายหนี้ในส่วนนี้ และสมาคมฯ ก็ได้จ่ายเช็คไปให้กับกรมสรรพากรเรียบร้อยแล้ว หากสมาคมไม่สำรอง หรือไม่เตรียมเงินส่วนนี้ไว้ เช็คเด้งสมาคมอาจจะถูกปรับหรืออาจจะถูกดำเนินคดี ในการดำเนินคดีของสรรพกรคืออาจจะฟ้องล้มละลายสมาคมฯ หรืออาจจะฟ้องยึดทรัพย์สินของสมาคมฯ ซึ่งตรงนี้ผมคงปล่อยไปไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นการบริหารงานที่ล้มเหลว ผมจึงต้องตัดสินใจหาเงินมาใช้หมุนเวียนในสมาคมฯ ขณะนี้สมาคมได้เอาเงินนอกระบบมาหมุนเวียน ทำให้สมาคมเป็นหนี้ประมาณ 80 ล้านบาท และยังต้องสำรองเงินมาไว้จ่ายกรมสรรพากร ซึ่งสมาคมได้จ่ายเช็คไปเรียบร้อยแล้วกว่า 100 ล้านบาท”
“ถ้าเอาเงินที่สมาคมพอจะมีอยู่ไปจ่ายให้ทีมสโมสรในดิวิชั่น 1 และดิวิชั่น 2 สมาคมฯ จะไม่มีเงินหมุนเวียน หรือไม่มีเงินเพียงพอที่จะไปจ่ายให้กับกรมสรรพกร สมาคมฯ จึงมีนโยบายระงับหรืองดการจ่ายเงินสนับสนุนค่าเดินทางนะครับ ส่วนเงินสนับสนุนประจำปีที่เคยได้ ยังคงได้เหมือนเดิมนะครับ หนี้ของสนามคมฯ ที่ต้องจ่ายให้กรมสรรพากรนั้นเป็นหนี้ตามกฎหมายไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ถ้าเราไม่จ่ายเราถูกฟ้อง ฟ้องล้มละลาย ฟ้องยึดทรัพย์ ผมเชื่อว่าแฟนบอลชาวไทย หรือแฟนบอลในดิวิชั่น 1 และดิวิชั่น 2 คงเข้าใจความจำเป็นของสมาคมฯ นะครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากจ่าย แต่ผมไม่มีทางเลือก ผมจำเป็นที่จะต้องจ่ายหนี้ตามกฎหมายก่อน ส่วนที่ให้สัญญาใจไว้ขอเถอะครับ ขอให้ผมแก้ไขปัญหาตรงนี้ ผมเข้ามาเคยบอกว่าจะทำนั้นทำนี่ ผมก็ไม่คิดว่าจะเข้ามาพบกับหนี้สินขนาดนี้ ถ้ารู้ว่ามีภาระหนี้สินขนาดนี้ ผมเข้ามา ผมคงไม่พูดว่าจะช่วงเหลือแต่ละทีมอย่างไร ก็ขอทำความเข้าใจไว้ตรงนี้ครับ”
“ปีหน้านะครับ เรามีผู้สนับสนุน โดยบริษัทแพลน บี ซึ่งทำหน้าที่หาสปอนเซอร์ ถ้าเรามีผู้สนับสนุนมากพอและสามารถปลดหนี้ของสมาคมฯ จนมีสภาพคล่องได้ สภาวะทางการเงินเข้าสู่ปกติ ผมก็จะกลับมาสนับสนุนเงินค่าเดินทางในดิวิชั่น 1 และดิวิชั่น 2 เหมือนเดิม”
“ส่วนเรื่องการฟ้องร้องสมาคมกีฬาฟุตบอลฯนั้น ก็สามารถทำได้ ถ้าผู้ฟ้องมองว่าเสียประโยชน์ หรือไม่ได้รับประโยชน์ แต่เขาก็ต้องคิดว่าการฟ้อง นั้นทำได้หรือไม่ อันนี้ผมตอบไม่ได้ ผมไม่ใช่นักกฎหมาย แต่ผมบอกได้คำเดียวว่าสมาคมฯ ตอนนี้เป็นหนี้อยู่ประมาณ 80 ล้านบาท และยังต้องจ่ายเงินค่าค้างจ่ายภาษีให้กับสรรพากรอีกนับ 100 ล้านบาท ถ้าจะฟ้องก็ฟ้อง ผมจะได้ชี้แจงว่าเงินมันไปที่ไหนอย่างไร ถ้ามีเงินแล้วไม่จ่ายอันนี้ไม่ถูกต้อง แต่เป็นหนี้และมีหนี้ที่จะต้องจ่ายอีก ช่วยตอบผมด้วยครับ เสนอแนะผมด้วยครับว่าจะไปเอาเงินที่ไหนมาจ่ายดี ใครจะแสดงความคิดเห็นหรือพูดอย่างไรผมไม่ทราบ คิดแล้วบอกผมด้วยว่าควรจะแก้อย่างไร”
“ครับผมย้ำอีกครั้งนะครับ ขณะนี้สมาคมฯ เป็นหนี้คือ ใช้เงินเกินตัวไป 80 ล้านบาท และจะต้องจ่ายให้สรรพกรอีกร้อยกว่าล้าน กับ การจ่ายเงินสนับสนุนให้กับทีมดิวิชั่น 1 และ ดิวิชั่น 2 อะไรควรทำก่อนอะไรควรทำหลัง ผมก็คิดว่าผมทำถูกแล้ว แต่ถ้าคิดว่าผมทำผิด และผิดกฎหมาย ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ท่านจะใช้สิทธิทางกฎหมายฟ้องร้องผม ผมก็น้อมรับหากท่านคิดว่าสิ่งที่ผมทำผิด ไม่ถูกกฎหมาย ก็อยู่ที่แฟนบอลชาวไทยครับ คนไทยจะตัดสินว่าการบริหารงานของสมาคมภายใต้ข้อจำกัด ภายใต้สิ่งที่ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะต้องเข้ามานั่งใช้หนี้แทนเขา และผมทำเช่นนี้ หนี้ทางกฎหมายกับสัญญาใจมันต่างกันนะครับ สัญญาใจ ถ้าเห็นใจผม และคิดว่าหนี้ตามกฎหมายมันจำเป็นต้องจ่าย ก็ต้องเข้าใจผม แต่ถ้าท่านมีวิธีการ หรือแนวความคิดที่ดี หรือสูงกว่าสติปัญญาผม สูงกว่าภูมิปัญญาผม ก็ได้โปรดกรุณาแนะนำผมด้วยครับ”
ข้อมูลจาก : https://goo.gl/kht41M
ภาพ : Fair