กลายเป็นดราม่า ของวงการฟุตบอลไทย หลังจากผ่านสัปดาห์แรกของ ชิษณุพงศ์ โชติ กับ ชลบุรี เอฟซี ที่ตอนนี้ มันต้องมาไขปัญหา ว่าใครผิด และมันควรจะจบอย่างไร
ถือเป็นข่าวที่ขโมยซีนของฟุตบอลไทยลีก เล็กน้อย ระหว่างดราม่าของ ชิษณุพงศ์ โชติ กับ ชลบุรี เอฟซี ที่ใจหนึ่งก็สงสารเด็ก อีกใจก็เข้าใจสโมสร กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน
ย้อนกลับไปในช่วงก่อนปิดตลาด ได้มีการประกาศว่า เชียงใหม่ เอฟซี ทีมในไทยลีก 2 ได้บรรลุข้อตกลงในการยืมตัว ชิษณุพงศ์ โชติ มาจาก ชลบุรี เอฟซี
แต่พอถึงการประกาศรายชื่อที่ลงทะเบียน ปรากฏว่า ชิษณุพงศ์ กลับไม่มีชื่ออยู่ในทีม เชียงใหม่ และรวมถึง ชลบุรี และ ณ เวลานั้น การลงทะเบียนของไทยลีก ได้ปิดตัวลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นแปลว่า นักเตะจะพลาดโอกาสลงสนามอย่างน้อยครึ่งปี ในไทยลีก ฤดูกาลนี้ หรือ ต้องมองหา ทีมไทยลีก 3 ที่ยังสามารถลงทะเบียนได้ เพื่อคว้าโอกาสการลงสนาม
– มองจากมุมของ ชลบุรี เอฟซี?
คาดว่าทุกคนน่าจะเห็น บทสัมภาษณ์ของ ศศิศ สิงห์โตทอง ผู้จัดการทีม ชลบุรี เอฟซี ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่เล่าไทม์ไลน์ต่างๆ รวมถึงสาเหตุทั้งหมด ที่เกิดขึ้น (อ่านบทสัมภาษณ์)
แน่นอน หากเราเอาตัวเองวางว่า เราเป็นชลบุรี เด็กที่เราปลุกปั้นมาอย่างยาวนาน แสดงตัวว่าต้องการย้ายทีม และแน่นอนว่าเมื่อนักเตะยังมีสัญญาอยู่ ก็ต้องเคารพสัญญา ปฏิบัติตามข้อกำหนดของสโมสร
ไม่ใช่ว่า นักบอลอยากจะย้ายไปไหนก็ไป ตกลงกับทีมไหนได้แล้ว ก็ไม่ต้องสนใจทีมเก่า แต่ด้วยกฏ และระเบียบที่ระบุในสัญญา การย้ายทีม มันต้องตกลงด้วยกันสามฝ่ายคือ ตัวสโมสร 2 สโมสร และนักกีฬา
และแน่นอนว่ามันคงไม่โอเค หากตามบทสัมภาษณ์ที่ระบุว่า นักกีฬาปฏิเสธการย้ายทีม ไม่ยอมมารายงานตัว ตามกำหนด เหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ และนั่นคือมุมของ ชลบุรี
– มองจากมุม ชิษณุพงศ์ โชติ?
แน่นอนว่าตัวนักเตะที่อยู่ชลบุรี มาอย่างยาวนาน อาจจะต้องการมองหาความท้าทายใหม่ เพื่อยกระดับฝีเท้าของตัวเอง หรืออาจจะไม่พอใจ กับการโดนสโมสร บังคับให้ย้ายไปทีมไหน
หรืออาจจะมองว่าเรื่องของเงินเดือนที่ได้ อาจจะน้อยเกินไป จากสัญญาที่ชลบุรี ให้ และต้องการได้ในจำนวนที่คิดว่า เหมาะสมกับฝีเท้าของเขา ที่มีดีกรี เคยติดทีมชาติไทย U23 มาแล้ว 1 ครั้งในดูไบ คัพ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
รวมถึงอาจจะไม่พอใจที่ไม่ได้อยู่ในแผนการทำทีมของชลบุรี และจะโดนส่งไปให้ สมุทรปราการ ซิตี้ ในไทยลีก 2 ยืมตัว เพราะมองว่าตัวเขาควรจะได้เล่นในไทยลีก นันคือสาเหตุ
– ปัญหาที่เกิด
แน่นอนว่าการย้ายทีม เมื่อสองฝ่ายเห็นไม่ตรงกัน ปัญหามันก็เลยเกิด สโมสรก็ผิดหวังที่นักเตะไม่ปฏิบัติตาม นักเตะก็ผิดหวังและอาจจะมองว่า สโมสรมองไม่เห็นคุณค่าของเขา
และสุดท้าย เมื่อมองมุมที่ร้ายคือ สโมสร โดนคนมองว่า ทำร้ายเด็ก นักเตะโดนมองว่าเป็นเด็กดื้อ จนทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่แย่ของทั้งฝ่าย และนี่คือปัญหาที่เกิดขึ้น
– ปรับปรุงและแก้ไข ก่อนเดินหน้าต่อ
ณ ตอนนี้ ทางเลือกเดียวที่ ชิษณุพงศ์ ทำได้ก็อาจจะเป็นการมองหาทีมในไทยลีก 3 ที่เหลือเวลาอีก เกือบ 1 เดือนก่อนเปิดฤดูกาล เพื่อให้ตัวเขาได้มีเกมในการพัฒนาตัวเอง
แน่นอนว่า สิ่งที่พลาดของนักเตะ หากมองตามตรงคือ การไม่ปฏิบัติตามกฏ อย่างเช่นการไม่ยอมไปรายงานตัวฝึกซ้อม ตามที่สโมสรวางไว้
ณ ตอนนี้สิ่งสำคัญของนักเตะคือต้องเคารพสัญญา ปรับปรุงเรื่องทัศนคติเล็กน้อย มองว่า การลงมาไทยลีก 2 คือ โอกาสที่ตัวเขาจะได้พิสูจน์ตัวเอง (แม้ตอนนี้จะไม่ทันแล้ว) หลายคนอาจจะมองว่า การลงมาลีกรอง คือการก้าวถอยหลัง แต่การถอยหลังบางครั้งคือการถอย 1 ก้าว เพื่อเดินหน้า 2 ก้าว
เมื่อคุณมองว่าคุณเก่งเกินกว่าจะเล่นในไทยลีก 2 คุณก็ต้องเล่นและแสดงให้เห็นว่าตัวเขาดีเกินกว่าจะเล่นลีกรอง แสดงความมืออาชีพออกมา และหากคุณทำได้ ประตูโอกาสหลายบาน ก็จะเปิดให้ตัวเขากลับไปไทยลีกอีกครั้ง
แต่หากคุณมองในแง่ลบ มันก็กลายเป็นว่า มันเป็นการทำร้ายตัวเอง มันก็ไม่ต่างอะไร กับการที่จะไปเล่นต่างแดน คุณก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นในประเทศของตัวเองก่อนว่าเขาดีเกินไปแล้ว คนรอบข้างเองก็สำคัญ และต้องชี้ไปเลยว่า กุนซือของนักเตะที่แนะนำในเรื่องนี้ พลาดเต็มๆ
ส่วนชลบุรี หลายคนอาจจะมองว่าใจร้าย แต่เคสนี้ก็เป็นกรณีศึกษา และคาดว่าอาจจะเป็นเรื่องของการสื่อสารที่อาจจะไม่ลงตัว จนทำให้เกิดปัญหา รวมถึงการทำสัญญาที่อาจจะต้องมีเรื่องเอกสารที่ชัดเจนมากกว่านี้
เพราะฉะนั้นนี่คือบทเรียนสำหรับทั้งสองฝ่าย และยิ่งสถานการณ์ตอนนี้ มันเหมือนแก้วที่ร้าวที่ยากมากที่จะประสานให้มันกลับมาเหมือนเดิม
ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่า ทั้งสองฝ่ายจะฟันฝ่าช่วงมรสุมเหล่านี้ไปให้ได้ แม้จะไม่ได้จับมือกัแล้ว แต่อาจจะเป็นการทำให้ ทุกอย่างจบลงอย่างสวยงาม