ชัดเจนไหม !! “สมยศ” ยันรับบริจาคจากแฟนบอลไม่ผิด

เมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่โรงแรมดิ เอมเมอรัลด์ ห้องบุษบาคัม “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เป็นประธานในการประชุมสภากรรมการ ครั้งที่ 3 ประจำปี 2559 โดยภายหลังการประชุมร่วม 4 ชั่วโมง “บิ๊กอ๊อด” เปิดเผยว่าประเด็นสำคัญของการประชุมครั้งนี้คือการแก้ไขข้อบังคับลักษณะปกครอง สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ซึ่งมีบางข้อต้องแก้ไขตามคำแนะนำของศาล เนื่องจากมีผลต่อสโมสรสมาชิก

“และตามกฎสมาคมฯ ต้องส่งวาระแจ้งให้สภากรรมการรับทราบล่วงหน้า 55 วัน ซึ่งวันนี้ได้มีการแจ้งถึงข้อบังคับลักษะปกครองบางข้อที่ต้องแก้ไข และการประชุมครั้งต่อไปจึงจะหารือเพื่อแก้ไขข้อบังคับฯ ตามที่ศาลแนะนำ โดยสาระสำคัญคือสิทธิประโยชน์ต้องเป็นของสมาคมฯ และสโมสรสมาชิก ที่ในอดีตโดยผู้บริหารชุดเก่า ไปตัดคำว่า สมาชิก ออก ซึ่งศาลได้สั่งให้แก้ไขโดยให้สิทธิประโยชน์เป็นของสโมสรสมาชิกด้วย”

ส่วน “บิ๊กอ๊อด” กล่าวต่อว่า หลังจากพิจารณาถึงสภาพหนี้สินของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ และได้ว่าจ้างบริษัท เข้ามาให้ตรวจสอบบัญชีของผู้บริหารสมาคมฯ ชุดเก่า ซึ่งการตรวจสอบนี้ทางบริษัทผู้ตรวจสอบบัญชีแจ้งว่าประมาณปลายเดือน กรกฎาคม น่าจะเสร็จสิ้น เมื่อนั้นถึงจะทราบว่าการใช้จ่ายเงินในอดีตเป็นไปตามข้อบังคับหรือไม่ ถ้าไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงกรณีที่ สมาคมฯ ตั้งกองทุนฟุตบอลไทยไปบอลโลก โดยรับบริจาคเงินจากแฟนบอลนั้น พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องเสียหายเพราะเป็นสิ่งที่ต่างประเทศก็ทำกัน อีกทั้งสมัยที่ตนดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็เคยเปิดรับบริจาคเพื่อสร้างโรงพยาบาลใน จ.ยะลา ปรากฎว่าคืนเดียวได้ถึง 500 ล้านบาท ดังนั้นคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร

“ทีมชาติไทย เป็นของคนไทยทั้งชาติ หากใครอยากช่วยก็บริจาคเข้ามา แต่หากใครไม่เห็นด้วยก็ไม่ว่าอะไรเพียงแต่อย่าวิจารณ์ในสิ่งที่ไม่สร้างสรรค์และไม่คิดจะทำอะไรเพื่อประเทศไทย การตำหนิควรต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริงใจ ไม่มีอดีต หรือผลประโยชน์ซ่อนเร้น คนพวกนี้หากตายไปเอาไปทำปุ๋ยต้นไม้ก็ตาย ซึ่งสื่อนี่แหละตัวดี” นายกลูกหนัง กล่าว

“บิ๊กอ๊อด” กล่าวในตอนท้ายว่าเงินที่ได้รับจากการบริจาค ไม่ได้นำไปใช้เฉพาะฟุตบอลทีมชายชุดใหญ่เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงทีมชาติทุกชุด ทุกรุ่นอายุ ทั้งทีมชาย ทีมหญิง ตลอดจนฟุตซอล และฟุตบอลชายหาดด้วย โดยขณะนี้มียอดเงินสนับสนุนรวมกว่า 180 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินกองทุนประมาณ 80 ล้านบาท และอีก 100 ล้านบาท จาก บ.ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่ให้ปีละ 10 ล้านบาท เป็นเวลา 10 ปี