ข่าวฟุตบอลการมาของ “คูเปอร์” และระบบครอบครัว ของการท่าเรือ
สกอตต์ คูเปอร์

การเข้ามา คุมทีมของ สกอตต์ คูเปอร์ ถือเป็นการสร้างแรงกระเพื่อมเล็กน้อยให้กับ การท่าเรือ เอฟซี หลังจากที่พวกเขาตัดสินใจ เปลี่ยนมาใช้โค้ชต่างชาติตามความต้องการของแฟนบอล แต่ปัญหาเดิม มันก็อาจจะไม่หมดไป

สกอตต์ คูเปอร์ เปิดตัวคุมทีม การท่าเรือ เอฟซี อย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว ท่ามกลางความหวังของแฟนบอล ที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงทีมจากยักษ์ใหญ่กลางตาราง กลับมาสู่การยืนหยัด หัวแถว เพื่อล่าแชมป์กลับมาอีกครั้ง

ก่อนหน้านี้ ท่าเรือ โดนวิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับการใช้บริการโค้ชไทย ที่วนไปวนมา นักเตะซื้อเข้ามาแล้วก็โดนดอง จนหมดอนาคต นักเตะที่ลงหลายคนก็มองว่าหมดอายุไปแล้ว แต่ทีมก็ยังเก็บไว้และวางเป็นตัวหลัก

แน่นอนว่า การเข้ามาของคูเปอร์ สิ่งที่ทุกคนต้องการเห็นก็คือการเปลี่ยนแปลงของทีมการท่าเรือ

นีคือโจทย์ใหญ่สำคัญของ คูเปอร์ ที่จะต้องทำให้ได้ และอีกสิ่งที่สำคัญคือทถกคนต้องมีความอดทน เพราะมันสำคัญมาก เพราะการแข่งขันฟุตบอลลีก ไม่ใช่การวิงระยะสั้น แต่มันคือการวิ่งมาราทอน ที่ต้องเดินหน้าตลอดทั้งปี

ปีทีผ่านมา ท่าเรือ เปลียนโค้ชไปถึง 4 คน และถือว่ามากที่สุดในบรรดาสโมสรไทยลีก เห็นได้ชัดว่าหากผลงานไม่ดี คุณก็อาจจะตกเก้าอี้ได้ และคุณต้องให้เวลา คูเปอร์ และทีมงานมากแค่ไหน รวมถึง อิสระ ในการทำงานต่างๆ

แน่นอนว่าตอนนี้มันเริ่มเห็นในแง่บวก ทั้งการซื้อตัวนักเตะที่มีคุณภาพ เริ่มมีการมองของดีจากต่างแดนมาเสริม เริ่มผ่องถ่าย นักเตะที่ไมได้ใช้งานให้สโมสรอื่นๆ ลดขนาดทีมให้มีความเหมาะสม

แต่นี่ยังเป็นแค่จุดเริ่มต้น เพราะสิ่งสำคัญคือ วัฒนธรรมและระบบ ครอบครัวที่หลายคนเป็นกังวล

– ระบบครอบครัว

แน่นอนว่า นี่คือโจทย์สำคัญของการท่าเรือ ที่จะต้องสลัดคำนี้ทิ้งไปให้ได้ ในเมื่อฟุตบอลคือธุรกิจ คนที่ทำได้ดี ควรได้โอกาส ควรได้ไปต่อ คนที่ทำได้ไม่ดี ก็ไม่ควรได้โอกาสลงสนาม และควรโดนปล่อยออกไป

แต่ที่ผ่านมาเราจะเห็น ทำไมคนนี้เล่นไม่ดียังได้ลง ทำไมคนนี้ดูตั้งใจซ้อมถึงไม่ได้โอกาสบ้างเลย คำถามสำคัญคือโค้ชมีอิสระ ในการตัดสินใจมากน้อยแค่ไหน

เพราะฟุตบอล คือธุรกิจที่ต้องแข่งขัน หากทำทีมแบบครอบครัวมันก็ยากที่จะต่อกรกับสโมสรอื่นๆ อย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แชมป์เก่า รวมถึง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ทีมรองแชมป์และอีกหลายสโมสร

– อิสระ และ เวลา

หลายคนบอกว่าเจ้าของเงินมีสิทธิ์ทำอะไรก็ได้ แต่เมือทำทีมฟุตบอลแล้ว เราเองก็ต้องไว้ใจโค้ช ให้โค้ชมีสิทธิ์ตัดสินใจ

แต่ถ้าทุกอย่างขึ้นตรงกับเจ้าของเงิน มันก็จะมีปัญหา นักเตะไม่พอใจโค้ช แต่ไม่พูดตรงๆ ไปพูดกับเจ้าของทีม โค้ชสังแล้วไม่ฟัง เพราะมองว่าเจ้าของทีมมีอำนาจมากกว่า

นี่คือเรืองของอิสระ ถ้าโค้ชไม่สามารถควบคุมนักเตะในทีมได้ การจะพาสโมสรฟุตบอลเดินไปข้างหน้ามันก็เป็นเรื่องที่ยากลำบาก และมันก็เหมือนบริษัท ที่ทุกอย่างต้องรอคำตัดสินจากประธาน แต่ผู้จัดการไม่มีอำนาจสั่งลูกน้องได้เลย

และที่สำคัญคือเรื่องของเวลา ที่ต้องให้เวลาในการทำงาน มันคงยากที่ทุกอย่างจะสวยหรู ชนะรวด เดินหน้าคว้าแชมป์ เพราะสโมสรอื่นๆก็มีมือมีเท้า และพร้อมที่จะสู้เต็มที่เพื่อเป้าหมายของตัวเอง

– คูเปอร์คือคนที่ใช่ หรือ คนที่เหมาะสม?

มันเป็นคำตอบที่ยากเสมอว่าใครคือคนที่ใช่ คนที่เรามองว่าใช่อาจจะไม่ใช คนที่เรามองว่าไม่ใช่อาจจะใช้ เพราะทุกอย่างต้องพิสูจน์กันด้วยผลงาน

แน่นอนว่า นี่คือหนึ่งในความท้าทายของคูเปอร์ นอกจากการพาทีมประสบความสำเร็จแล้ว สโมสรเองก็ต้องพยายามสร้างภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นมาใหม่ โยนทิ้งระบบครอบครัวออกไป เดินหน้าสู่ความมืออาชีพเต็มตัว

สำหรับฟุตบอลไม่ได้วัดว่าใครรวยกว่า ใครซื้อนักเตะได้ดีกว่า แต่มันขึ้นอยู่กับว่าผลงานในสนาม และแน่นอน ทุกอย่างที่กล่าวมา มันคือองค์ประกอบทีจะขับให้ผลงาน เพราะผลงานคือตัวสะท้อนทุกอย่าง

จะโยนทุกอย่างให้คูเปอร์อย่างเดียวก็คงไม่ใช่ แต่ต้องรวมถึง ผู้บริหาร, สตาฟฟ์โค้ชคนอื่นๆ รวมถึงนักเตะและแฟนบอล ที่จะต้องสร้างสิงห์เจ้าท่าทีมนี้ให้กลับมายิ่งใหญ่

ภารกิจไม่ได้มีแค่ถ้วยแชมป์ แต่มันคือการสร้างอิมเมจที่ดี โครงสร้างและวัฒนธรรมที่เหมาะสมขึ้นมาเพือยืนหยัดเป็นทีมหัวแถวที่พร้อมจะลุ้นแชมป์เช่นเดียวกับทีมใหญ่ๆทีมอื่น