เป็นอีกครั้ง ที่ การท่าเรือ เอฟซี ถูกตำหนิอีกครั้ง หลังจากที่อุตส่าห์ปลดล็อคเมื่อกลางสัปดาห์ แต่กลายเป็นว่าสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พวกเขาเจอบ๊วยติกคอ
ความพ่ายแพ้ต่อ เชียงใหม่ ยูไนเต็ด เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ของ การท่าเรือ เอฟซี ทำให้ สิ่งที่หลายคนคิดว่าพวกเขาจะกลับมา กลายเป็นความไม่แน่นอนอีกครั้ง
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา เสียงเชียร์ ที่ แพท สเตเดียม คำรามขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่พวกเขาคว้าชัยชนะ นัดแรก ของปี 2022 ด้วยการทุบ สุพรรณบุรี เอฟซี ไป
แน่นอนว่าชัยชนะ นัดดังกล่าวทำให้หลายคนมองว่า ท่าเรือ พร้อมที่จะกลับไปแย่งชิงพื้นที่หัวตาราง หรือ โควต้า เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2023
และยิ่งคู่แข่ง รายต่อไปของพวกเขาคือ เชียงใหม่ ยูไนเต็ด ทีมอันดับสุดท้าย เมื่อมองทั้งรายชื่อนักเตะ หรือ ความได้เปรียบอะไรหลายอย่าง ท่าเรือ เป็นต่ออยู่บานเบอะ ชนิดที่ เกจิ ทุกสำนักฟันธงว่า ท่าเรือ จะชนะแน่นอน แต่บอกไม่ได้ว่าจะสกอร์เท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม แค่ 38 วินาที พวกเขาก็มาเสียประตูอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับครึ่งหลัง และสุดท้ายทีมก็จบลงด้วยการพ่ายแพ้ ไปแบบชอกช้ำ
ทุกนิ้วชี้ความผิดไปที่ เฮดโค้ชอย่าง สระราวุฒิ ตรีพันธ์ ที่เป็นเฮดโค้ชของทีม ที่ยังคงได้โอกาส และหลังจบเกม กระแสเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทั้งที่เพิ่งเงียบไปไม่นานหลังชัยชนะนัดแรกของปี
ณ ตอนนี้ การแข่งขันฟุตบอลไทยลีก เดินทางมาถึงช่วง 9 นัดสุดท้ายแล้ว แน่นอนว่า โอกาสการจบแบบมือเปล่าของท่าเรือ ในฤดูกาลนี้ มีแววเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะบอลถ้วยก็ตกรอบหมดแล้ว ส่วนในลีก ก็ตามจ่าฝูงอย่างบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แบบไกลไม่เห็นฝุ่น
แต่ด้วย 9 นัดที่เหลือนี้ และอาจจะรวมถึง เกมเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก รอบเพลย์ออฟ อีกนัด มันอาจจะเป็นโอกาสที่ดี สำหรับการท่าเรือ ที่อาจจะต้องยอมถอยสักก้าว เพื่อมาเช็คดูว่า มันควรแก้ตรงไหน อะไรที่ควรเก็บไว้ อะไรจำเป็นต้องตัดทิ้งไป
ถ้าบอกว่าเปลี่ยนโค้ชคนเดียว หาดีๆ มา และมีอะไรรับประกันไหมว่าโค้ชคนใหม่ จะสามารถยกทีมระดับตำนานทีมนี้ให้เป็นแชมป์ได้ เปลี่ยนนักเตะ จะเสริมใครอีกล่ะ ในทีมมีตัวนักเตะแทบจะขี่คอ บางคนยังได้แค่ซ้อม และไม่มีชื่อแม้กระทั่งตัวสำรอง และยังมีอีกหลายคนที่โดนปล่อยให้สโมสรอื่นยืมตัวไปใช้งานอีก
แน่นอนว่า มันถึงเวลาแล้ว ที่ท่าเรือ จำเป็นต้องปรับ ไม่ใช่ ชนะก็ลืม แพ้ก็คิดอีกครั้ง สุดท้ายก็วนแบบนี้ กลายเป็นว่า ในขณะที่ทีมอื่นเดินไปข้างหน้า แต่ท่าเรือยังคงเดินเป็นวงกลม
9 นัดนี้ อาจจะเป็นตัวพิสูจน์เลยว่า นักเตะคนไหนควรได้อยู่ต่อ นักเตะคนไหน ควรถึงเวลาต้องปล่อย โค้ชล่ะ จะวางโครงสร้างแบบไหน
ลองนึกภาพเหมือนบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ที่พวกเขาตกชั้นไป ไทยลีก 2 และจัดการปรับระบบ รีโครงสร้างทีมใหม่ และผงาดขึ้นมาคว้าแชมป์ไทยลีก บางที นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ท่าเรือ ต้องการก็เป็นได้
ณ วันนี้ เชื่อว่าแฟนบอล การท่าเรือ หลายคนอาจจะเห็นแล้วว่าทีมควรปรับจุดไหน ผู้บริหารเองก็รู้ แต่ด้วยระบบครอบครัว ที่แฟนบอลพูดถึง มันจะเปลี่ยนได้หรือยัง แน่นอนว่า ระบบครอบครัวมันสำคัญสำหรับฟุตบอลไทย ที่ต้องมีความยืดหยุ่น ความเช้าใจ ความช่วยเหลือ
แต่บางครั้ง หากยังทำแบบครอบครัว มันก็ยากที่จะสู้ทีมอื่น ที่เขาใช้ระบบครอบครัว ผสมผสานกับความมืออาชีพ แม้จะรักนักเตะคนนี้มากแค่ไหน แต่เมื่อเรามองว่า เขายังไม่ดีพอ ก็อาจจะต้องปล่อย
เพราะมันสำคัญมาก ที่ในฟุตบอล เราจะใช้ระบบแบบนี้ต่อไปไม่ได้ บางทีหลายคนอาจจะกลัวว่าถ้า ปล่อยนักเตะคนนี้ไปสโมสรอืนแล้ว เขาทำได้ดี คนจะมองว่า สโมสรพลาด แต่เปล่าเลย มันไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป เขาอาจจะดี สโมสรอาจจะดี แต่มันอาจจะไม่เข้ากันเท่านั้น
เพราะฟุตบอลก็เหมือนชีวิตคน เยอะไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ดี มันต้องหาสมดุลให้เจอ จะครอบครัวจ๋ามันก็ไม่ได้ จะมืออาชีพจ๋า อาจจะรุนแรงเกินไปสำหรับนักเตะไทย
9 นัดที่เหลือนี้ อาจจะเป็นโอกาส และเวลาที่ดีในการมองหาตรงกลาง และมองหาสมดุลของทีมเพื่อยืนหยัดประสบความสำเร็จในระยะยาวให้เจอ
