แกรม ซูเนสส์ เชื่อว่ามันเร็วเกินไปที่จะตัดชื่อ ลิเวอร์พูลออกจากสารบบการลุ้นแชมป์ในฤดูกาลนี้ เพราะเพิ่งผ่านมาแค่สามนัดเอง
แกรม ซูเนสส์ เตือนว่าการตัด ลิเวอร์พูล ออกจากการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ปีนี้ มันคงเร็วเกินไป หลังเพิ่งผ่านไปสามนัด
ลิเวอร์พูล ผ่านสามนัดด้วยการไม่ชนะใครเลย และอยู่ในโซนท้ายตาราง ณ ตอนนี้
“ผมจะไม่มีทางลืมหัวข้อข่าวของหนังสือพิมพ์ในประเทศ หลังจากลิเวอร์พูลแพ้ให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3-1 ที่แอนฟิลด์ ตอนวันบ็อกซิ่งเดย์ ปี 1981 ซึ่งมันทำให้เราอยู่อันดับที่ 12 ดิวิชั่น 1 จักรวรรดิกำลังล่มสลาย- นั่นคือคำพาดหัว แล้วเราเดินหน้าไปคว้าแชมป์ลีก ดังนั้น ตอนที่ผมได้ยินที่ว่า ลิเวอร์พูล ชุดนี้ผ่านจุดสูงสุดของพวกเขาไปแล้ว ผมถึงกับหัวเราะออกมา คุณคงจะบ้าระห่ำมากที่จะบอกว่าพวกเขาจำเป็นต้องสร้างทีมใหม่” ซูเนสส์ เขียนใน Daily Mail
“Sportsmail ใช้หัวข่าวว่า ‘ใครกันแน่ที่กำลังวิกฤต!’ หลังเกมที่พวกเขาบุกไปแพ้ 2-1 ให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเมื่อวันจันทร์ โอเค ผมเข้าใจ มันมีข้อเรียกร้องให้โฟกัสไปที่ทีมใหญ่ เวลาที่พวกเขาทำผลงานได้ไม่ดี แต่การตอบสนองจากบางคนมันดูไร้เดียงสา ให้ตายเถอะมันเพิ่งแค่ 3 เกมเอง ผมยอมรับนี่ไม่ใช่ ลิเวอร์พูล ที่เหมือนในช่วง 5 ฤดูกาลที่ผ่านมา แต่เชื่อผมนะ พวกเขาจะกลับมาฟอร์มดีได้อีก”
“พวกเขาโดนกาชื่อทิ้งเมื่อฤดูกาลที่แล้วในเดือนมีนาคม และสุดท้ายจบลงที่พลาดแชมป์ไปด้วยคะแนนแต้มเดียว ลิเวอร์พูล ต้องยึดมั่นกับสิ่งที่ทำให้พวกเราประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ผมขอย้อนไปตอนปี 1981 เราถูกบอกว่าเราจบแล้ว และผู้คนก็รุมจวกเรา แล้วเราก็ปรับปรุงนิดหน่อยในส่วนของแต่ละคน แต่เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรในเรื่องของวิธีการเล่น เพราะมันเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้แล้ว ซึ่งผู้บริหารปลูกฝังใส่เราอยู่มาตลอด”
“เจอร์เก้น คล็อปป์ และทีมลิเวอร์พูลของเขาก็เหมือนกัน นักเตะคงหัวเสียกับตัวเอง และต้องการพิสูจน์ให้กองแช่งเห็นว่าพวกเขาคิดผิดเหมือนกับที่เราเคยเป็น แต่พวกเขาจะไม่โดนกดดันให้ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น เรื่องนั้นน่ะ ผมหมายถึงพวกคนฉลาดที่พูดถึงการเล่นแบบเกมรับดันสูง (ไฮไลน์ ดีเฟนซ์) ว่าเป็นจุดอ่อน เราได้ยินเสียงพล่ามเหล่านั้นเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ตอนที่เราเจอความลำบากตอนเดือนธันวาคม รวมถึงปีก่อนหน้านั้นที่เราแพ้ที่ แอสตัน วิลล่า 2-7”
“และใช่ เราได้เห็นกันจากประตูของมาร์คัส แรชฟอร์ดเมื่อวันจันทร์ ไลน์แบ็คโฟร์โดนทำลายและเขาหลุดไปดวล 1:1 กับผู้รักษาประตู แต่เราเองก็เล่นกันแบบนั้นเป๊ะ ๆ เลย หากคุณอยากเป็นทีมชั้นนำ แนวทางเดียวก็คือการเล่นแบบนั้นเหมือนเดิม หากคุณอยากจะเป็นทีมระดับท็อป มันเป็นทางเดียวที่ต้องเล่นแบบนั้น ตลอด 9 เดือนที่ลงเล่นทั้งฤดูกาล ข้อได้เปรียบในการดันมาถึงครึ่งสนาม มันมีมากกว่าข้อเสียเปรียบ 3 ส่วนของทีมของคุณจะต้องมีการสื่อสารซึ่งกันและกัน เกมรับของคุณของดันขึ้นสูง”
“ปัญหาที่พวกเขามีอยู่ในตอนนี้ ผมคิดว่าเป็นเพราะไม่ใช่นักเตะทุกคนที่มีสภาพความฟิตดีที่สุด
มันสามารถเปลี่ยนแปลงได้เมื่อฤดูกาลผ่านไป มันมักจะใช้เวลาสองสามสัปดาห์ที่จะให้พวกผู้เล่นไปเจอระดับของพวกเขา และหากคุณเล่นในแบบที่ ลิเวอร์พูล เล่นแล้วล่ะก็ เมื่อมีคนแค่คนเดียวให้กดดันใส่คู่แข่ง ระบบที่ทำมาก็ล้มเหลว สำหรับผม ไม่ใช่ผู้เล่นทุกคนที่ตามสปีดทัน ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่มันพังลง”
แต่ในช่วงเวลานี้ของฤดูกาล มันมีขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่แล้ว มันจะคายผลลัพธ์แปลก ๆ ออกมาเหมือนกับช่วงท้ายฤดูกาล หลังจากคว้าชัยเหนือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ มาได้เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ทุกคนยังพูดกันว่า ลิเวอร์พูล เก่งแค่ไหน”
ไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านั้น ตอนที่พวกเขาแพ้ให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่กรุงเทพ พวกเขาโดนด่าว่ากาก ตอนนี้ก็เหมือนกัน อย่างในเกมเมื่อวันจันทร์ ทุกคนบอกว่า ยูไนเต็ด สุดยอด พวกเขาเล่นได้ดีมากเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง แต่คุณไม่สามารถสุดยอดได้หากคุณครองบอลแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ ลิเวอร์พูล กลับมาสู่ตัวของตัวเองได้ และใกล้เคียงจะได้แต้ม พวกเขาไม่ได้แพ้ราบคาบตามที่บางสื่อออกมาบอก”
“แม้กระทั่งนักเตะ พวกที่เก่งที่สุดในประเทศนี้ก็ตกเป็นเป้าสำหรับการวิจารณ์โดยส่วนตัว ซึ่งมันรุนแรงเกินไป ยกตัวอย่าง เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ นี่เราจะกาชื่อเขาทิ้งไปแล้วจริง ๆ เหรอ ?? บ้าน่า ฟาน ไดค์ เหมือนกับหลาย ๆ คนที่อายุเข้าหลัก 30 ปี มันถูกใช้เป็นเหตุผลว่าพวกเขาอยู่ในช่วงขาลง ไร้สาระมาก”
“ผมเล่นฟุตบอลด้วยฟอร์มที่ดีที่สุดของอาชีพค้าแข้ง ตอนที่อายุ 30 กับ 31 ปี ในปีก่อนที่ผมจะย้ายจากลิเวอร์พูลไปอยู่กับซามพ์โดเรีย แล้วนั่นเกิดขึ้นในยุค 80 นะ นักเตะพวกนี้คืออยู่คนละระดับ ในแง่ของสภาพความฟิต และสมรรถภาพของร่างกาย นอกจากนี้ ยังมีการบอกว่า -กระทบกระทั่ง- กับอีแค่เพระ เจมส์ มิลเนอร์ เรียก ฟาน ไดค์ มาคุยตอน ยูไนเต็ด พังประตูแรก”
“มันควรเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ไม่ต้องรอให้ถึงช่วงพักครึ่งเพื่อให้ผู้จัดการทีมพูดอะไรบางอย่างหรอก ผมชอบนะเวลาที่นักเตะไม่ให้อภัยตัวเองจากความรับผิดชอบ ผมเคยทำงานกับเจมส์ที่นิวคาสเซิ่ล ผมรู้ว่าคาแรกเตอร์เขาเป็นคนอย่างไร เขาถูกสั่งให้เป็นคนคอยกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมอยู่แล้ว ผมเคยผ่านเรื่องนี้มาก่อน มันเป็นเรื่องในเชิงบวก แล้วยังมีการบอกว่า ลิเวอร์พูล ไม่ใช่ทีมเดิมเมื่อไร้ ซาดิโอ มาเน่ แน่นอนล่ะทุกทีมในโลกจะต้องคิดถึง ซาดิโอ มาเน่!”
“คุณเข้าใจประเด็นผมนะ มันดูจะเป็นฤดูกาลที่เปิดกว้าง ที่จะมาด่าลิเวอร์พูลหลังผ่านไป 3 นัดโดยยังไม่สามารถคว้าชัยชนะ แต่มันดูเร็วไปที่จะมาสะท้อนให้เห็นว่าพวกเขาจะไปอยู่ตรงจุดไหน แล้วเรามารอดูกันว่าใครที่จะเจอวิกฤติเมื่อถึงเดือนพฤษภาคม”