เยอรมนีตีตั๋วเข้ารอบรองฯ ยูโร 2019 แบบหืดจับด้วยการดวลจุดโทษชนะ
เยอรมนีตีตั๋วเข้าสู่รอบรองชนะเลิศในฟุตบอลศึกยูโร 2016 ในแมตช์ที่แม้ฟอร์มการเล่นจะบอดแต่กลับจบแมตช์ได้ด้วยความตื่นเต้นเร้าใจ จากการดวลจุดโทษเอาชนะอิตาลีไปได้ชนิดที่ว่าหายใจกันแทบไม่ทั่วท้องเลยทีเดียว
เยอรมนีเขี่ยอิตาลีตกรอบแบบบีบหัวใจคนดู
บิ๊กแมตช์ยูรอบควอเตอร์ไฟนอล คู่ระหว่าง เยอรมนี พบ อิตาลี ยูโร 2016 เป็นอีกหนึ่งคู่ที่ได้รับการจดจำมากจากแฟนบอล โดยฝั่งอิตาลีนั้นเป็นฝ่ายเปิดเกมเริ่มต้นได้ดีกว่า ซึ่งขุนผลอัซซูรี่มีโอกาสทำประตูก่อนจากลูกยิงระยะ 20 หลา ของสเตฟาโน่ สตูราโร่ แต่ลูกกลับหลุดออกไปอย่างน่าเสียดาย จากนั้นอีกประมาณสิบนาทีทางด้านเยอรมนีเองนั้นก็มีโอกาสในการทำประตูออกนำเช่นกันจากการต่อบอลกันช้าๆ จากฝั่งขวาของสนามซึ่งทำได้ดีโดย โจชัว คิมมิช แต่ก็กลับพลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของเกมการแข่งขันในแมตช์ที่ดุเดือดของทั้งสองทีมที่ต่างก็มีผู้เล่นได้รับบาดเจ็บด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ในเกมที่ดำเนินไปนั้นทางด้าน บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ ที่ก่อนหน้านี้ประกาศอำลาทีมชาติไปแล้วแต่กลับมาช่วยเยอรมนีอีกครั้งในรายการนี้ก็เกือบโหม่งทำประตูให้กับเยอรมนีออกนำแต่ก็พลาดไป และหลังจากที่อิตาลีก็เกือบได้โอกาสที่แทบจะเป็นอันดีที่สุดของทีมในการออกนำจากลูกยิงของ แมทเธีย เด ซิกลิโอ้ ทั้งสองทีมต่างก็ผลัดกันบุกผลัดกันรับแต่ไม่สามารถมีฝ่ายไหนขึ้นแท่นออกนำไปก่อนได้เลย
แมตช์ที่แสนสูสีและผลัดกันทำเกมโดยสองสุดยอดทีม
เยอรมนีเองก็เกือบจะได้โอกาสในการออกนำอีกครั้งจากลูกยิงอันสุดยอดของ โธมัส มุลเลอร์ แต่แม้ว่าลูกยิงนั้นจะเฉียบแค่ไหนก็ไม่อาจผ่านพ้นการเซฟจากสุดยอดผู้รักษาประตูจอมเหนียวอย่าง จิอันลุยจิ บุฟฟ่อน ไปได้ ทางด้านอิตาลีก็มีโอกาสมากมายในการออกนำ เช่นลูกที่เปิดจากทางด้านซ้ายของสนามอย่างสวยงามโดย เอ็มมานูเอลเล่ จิอัคเคลินี่ และบอลเข้าเท้าของสตูราโร่พอดิบพอดี โดยจังหวะที่ง้างเท้ายิงนั้นกลับถูกสกัดอย่างสุดยอดโดย เฌอโรม บัวเต็ง ซึ่งถือเป็นการช่วยเซฟทีมจากการถูกอิตาลีออกนำไปได้
ครึ่งแรกทั้งสองฝ่ายต่างผลัดกันสร้างโอกาสที่จะออกนำและกุมความได้เปรียบก่อน แต่จบครึ่งแรกผลสกอร์ก็ยังอยู่ที่ 0-0 ช่วงพักครึ่งทั้งสองทีมต่างฝ่ายต่างก็กลับไปวางแผนแก้เกมกันในห้องพักนักกีฬา หวังที่จะสร้างสรรค์โอก่าสให้ทีมนั้นได้เปรียบและกุมความได้เปรียบ พอเริ่มเกมครึ่งหลังมาได้สักครู่ เยอรมนีมีโอกาสทื่ถอว่าสุดยอดมากจากมุลเลอร์อีกครั้ง โดยมุลเลอร์นั้นรับบอลมาจากช่วงกลางสนามด้านซ้ายและตะบันยิงผ่านมือของจิอันลุยจิ บุฟฟ่อน ได้ได้ แต่กลับถูกสกัดจากเส้นโกลไลน์อันสุดยอดโดย อเลสซานโดร ฟลอเรนซี่ ที่ถือเป็นการช่วยทีมไม่ให้เสียประตูได้อย่างน่าทึ่งสุดๆ แม้ว่าเยอรมนีจะเป็นฝ่ายสร้างสรรค์เกมได้มากกว่าก็ตาม
โอกาสในการทำประก็ได้มาถึงพร้อมกับรูปแบบที่ดุเดือดมากกว่าเดิม
ในที่สุดกองเชียร์ของเยอรมันก็ได้เฮกันลั่นสนามในนาทีที่ 65 เมื่อมาริโอ โกเมส จ่ายบอลสุดเฉียบจากกาบซ้ายของสนามเข้าไปด้านในให้กับ เมซูต โอซิล หวดลูกบอลแบบเต็มข้อเข้าประตูไปอย่างสวยงาม ซึ่งถือว่าสุดยอดมิดฟิลด์อย่างโอซิลนั้นโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมเฉียบขาดจนบุฟฟ่อนนั้นไม่สามารถเซฟลูกนี้ไว้ได้ และนั่นก็เป็นโอกาสให้เยอรมนีเป็นฝ่ายออกนำและโมเมนตั้มความได้เปรียบก็เทไปทางเยอรมนีทันที
เยอรมันเกือบได้ประตูออกนำห่างอีกครั้งจากมิดฟิลด์ตัวเก่งคนเดิมอย่างโอซิลที่ต่อบอลอย่างยอดเยี่ยมไปให้กับกองหน้าของทีมอย่างมาริโอ โกเมส และก็ได้ยิงลูกผ่านกองหลังอิตาลีอย่าง จิออร์จิโอ้ คิเอลินี่ ไปได้ แต่ด้วยความเก๋าและความเหนียวของบุฟฟ่อน เขากลับเซฟลูกยิงนี้ได้อีกครั้งและช่วยไม่ให้สถานการณ์ของอิตาลีย่ำแย่มากขึ้นกว่าเดิม จากนั้นรูปเกมก็แทบจะเป็นเยอรมนีที่ครองเกมได้มากกว่าจนกระทั่งอิตาลีได้โอกาสบุกขึ้นมาบ้างแล้วบัวเต็งกองหลังของเยอรมนีกลับทำพลาดด้วยการทำมือไปโดนลูกบอลในกรอบเขตโทษและทำให้ผู้ตัดสินเป่านกหวีดให้อิตาลีได้จุดโทษโดยทันที เมื่อโอกาสการได้จุดโทษมาถึงอิตาลีก็จัดการให้ เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ เป็นผู้สังหารส่งบอลเข้าประตูไปตุงตาข่ายช่วยให้เหล่าขุนผลอัซซูรี่ตามตีเสมอขึ้นมาได้เป็น 1-1
เกมที่ดำเนินไปต่ออย่างไม่มีใครยอมใคร
เมื่อสกอร์เท่ากัน ทั้งสองทีมต่างก็เปิดเกมบุกกันอย่างดุดันและหวังที่จะยิงประตูเพื่อโอกาสในการผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศกันอย่างเต็มที่ แต่เมื่อครบ 90 นาที กรรมการเป่านกหวีดหมดเวลาในช่วงปกติทั้งคู่ก็ยังมีผลที่เสมอกันอยู่ 1-1 ทำให้ต้องเล่นกันต่อในช่วงเวลาพิเศษซึ่งโจอาคิม เลิฟ โค้ชคนเก่งของเยอรมนีได้พยายามกระตุ้นลูกทีมให้เด็ดขาดมากยิ่งขึ้นและพยายามกดดันสร้างความปั่นป่วนให้กับกองหลังของอิตาลีให้ได้ จนกระทั่งนาทีที่ชไวน์สไตเกอร์ส่งบอลให้กับจูเลียน แดร๊กซ์เลอร์ ง้างเท้ายิงเต็มๆ ที่กลับไม่เข้ากรอบและไม่สามารถทำให้เยอรมันออกนำอีกครั้งได้ หลังจากนั้นเยอรมนีก็ยังไม่หยุดยั้งความพยายาม โดยสามารถกดดันกองหลังของอิตาลีได้อย่างต่อเนื่องจากการต่อบอลที่แน่นอนและการสร้างสรรค์เกมที่เหนือกว่า แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถที่จะจบสกอร์ออกนำอิตาลีได้ จนกระทั่งกรรมการเป่านกหวีดหมดเวลาการแข่งขันในช่วงต่อเวลาพิเศษ ทำให้ทั้งคู่นั้นต้องดวลกันถึงขั้นฎีกาตัดสินด้วยจุดโทษ
ช่วงเวลาบีบคั้นหัวใจแห่งการยิงจุดโทษชี้ชะตาทีม
เมื่อถึงจุดที่ต้องตัดสินกันด้วยจุดโทษ เวลานี้เป็นเวลาแห่งความกดดันทั้งตัวนักเตะในสนามเอง, เหล่าบรรดาสต๊าฟโค้ชรวมไปถึงแฟนบอลของทั้งสองชาติ
อิตาลีเป็นฝ่ายได้เริ่มเตะก่อนตามด้วยเยอรมนี ซึ่งทั้ง 2 คนแรกของทั้ง 2 ทีมต่างก็ยิงจุดโทษเข้าประตูไปได้ทั้งคู่ จนมาถึงคนที่สองของอิตาลีที่รับหน้าที่ยิงจุดโทษโดยโค้ชอย่างอันโตนิโอ กอนเต้ นั้นมั่นใจมากว่าทีมจะสามารถทำได้ ผู้ที่รับหน้าที่ยิงจุดโทษเป็นคนที่สองของอิตาลีก็คือ ซิโมเน่ ซาซ่า แต่ จุดโทษของซาซ่า นั้นเหมือนฝันร้ายของทีมเพราะเขากลับยิงหลุดกรอบออกไปทำให้โมเมนตั้มความได้เปรียบนั้นเทไปที่ทางเยอรมนี และมุลเลอร์คือผู้รับหน้าที่ยิงจุดโทษเป็นที่สองของเยอรมนีแต่เขาก็กลับยิงพลาดด้วยเช่นกัน จากนั้นอิตาลีก็ยิงเข้าทำให้ออกนำที่ 2-1 คนต่อไปของเยอรมันอย่างโอซิลนั้นก็กลับช็อคคนดูทั้งสนามด้วยยิงจุดโทษพลาดเป็นรายที่สองติดต่อกัน แล้วก็เป็นฝ่ายอิตาลีที่พลาดจุดโทษ 2 ลูกติดบ้างเช่นเดียวกัน ในขณะที่เยอรมันกลับมายิงจุดโทษเข้าประและตามตีเสมอมาได้ที่สกอร์ 5-5 อิตาลีเริ่มยิงลูกที่หกก่อนโดย มัตเตโอ ดาร์เมียน แต่ลูกยิงของเขานั้นกลับถูกเซฟไว้ได้โดยผู้รักษาประตูอันสุดพยอดอย่างมานูเอล นอยเออร์ ก่อนที่โจนาส เฮ็กเตอร์ จะเป็นผู้ยิงจุดโทษคนสุดท้ายของเยอรมันและส่งบอลเข้าประตูไปตุงตาข่ายพลิกชีวิตให้เยอรมัน และส่งผลให้เยอรมนีสามารถเอาชนะจุดโทษไปได้ด้วยสกอร์ 6-5 กรุยทางเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้สำเร็จและเป็นการเขี่ยทีมเต็งอีกทีมอย่างอิตาลีตกรอบไปได้ พูดได้เลยว่าแมตช์ระหว่าง เยอรมนี พบ อิตาลี ยูโร 2016 นั้นถือเป็นแมตช์ที่ดุเดือดน่าจะจดอีกหนึ่งแมตช์ และผลการแข่งขันนี้ทำให้เยอรมนีเข้าไปรอพบผู้ชนะหว่างฝรั่งเศส เจ้าภาพ กับ ไอซ์แลนด์ ทีมม้ามืดที่ทะลุมาถึงรอบควอเตอร์ไฟนอล
เยอรมนีจะต้องเน้นและเพิ่มความเฉียบขาดของเกมให้มากยิ่งขึ้นหากพวกเขาต้องเจอกับเจ้าภาพอย่างฝรั่งเศสในรอบรองชนะเลิศ ซึ่งฝรั่งเศสนั้นดูมีแนวโน้มที่จะเอาชนะไอซ์แลนด์และเข้ามาเจอกันเยอรมนีได้อย่างง่ายดาย ฉะนั้นเยอรมนีจะต้องเน้นทุกตำแหน่งโดยเฉพาะผู้รักษาประตูระดับโลกอย่างนอยเออร์ที่จะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อสกัดกั้นและเซฟประตูให้กับเยอรมนีในนัดหน้าของรอบรองชนะเลิศต่อไป