“เขาคือเหตุผลที่ผมเลือกใส่เบอร์ 17 สมัยเป็นนักเตะ และเขาคือคนที่ทำให้ผมเปลี่ยนจากกองหน้ามาเล่นฝั่งซ้าย”
นี่คือประโยคที่ “โค้ชบอย” ศุภชัย คมศิลป์ พูดถึงบุคคลที่เขาเรียกติดปากว่า “เฮีย” และ “เฮีย” คนนั้นก็คือ “โค้ชโอ่ง” ดุสิต เฉลิมแสน นักเตะขวัญใจของเขา ผู้ที่เป็นแบบอย่างในการเล่นฟุตบอล และชีวิตการเป็นโค้ช
“ตอนที่ผมยังเป็นนักเตะเยาวชน ผมชื่นชอบสไตล์การเล่นของพี่โอ่งมาก ทำให้ผมเลือกใส่เบอร์ 17 สมัยเริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพจนกลายเป็นเบอร์ประจำตัวของผม นอกจากนี้สมัยเด็กๆ ผมเคยเล่นกองหน้ามาก่อน แต่ด้วยความที่ถนัดเท้าซ้าย และชอบยิงฟรีคิก จนมีคนชมผมว่ายิงสวยเหมือน พี่โอ่ง ผมจึงขยับมาเล่นฝั่งซ้ายทั้งแบ็คและปีก และเล่นตำแหน่งนั้นมาตลอดจนยุติอาชีพค้าแข้ง”
“ผมเคยเป็นทั้งเพื่อนร่วมทีมชาติไทยของพี่โอ่งสมัยติดทีมชาติครั้งแรก เคยเป็นทั้งคู่แข่งขันสมัยเป็นนักเตะ รวมถึงเคยดวลฝีมือกันในฐานะโค้ช แต่สิ่งที่ผมประทับใจมากที่สุดคือการทำงานร่วมกันที่สโมสรบีจี ปทุมฯ ในฐานะผู้ช่วยของ พี่โอ่ง ซึ่งเฮียแกได้สอนอะไรผมหลายอย่างในการเป็นโค้ช แม้ว่าเราจะเคยอบรมการเป็นโค้ชมา แต่ก็ไม่เท่ากับการได้เรียนรู้จากการทำงานจริง ซึ่งผมหวังว่าจะเก็บประสบการณ์ตรงนี้ให้มากที่สุด เพื่อพัฒนาตัวเองต่อไป”
จาก “ไอดอล” สู่การเป็น “พาร์ทเนอร์” ในถิ่นลีโอ สเตเดี้ยม ทั้ง “โค้ชโอ่ง” ดุสิต เฉลิมแสน และ “โค้ชบอย” ศุภชัย คมศิลป์ ถือเป็นการผสมผสานการทำงานที่ลงตัว ทั้งสองคนแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน จนทำให้การทำงานในสโมสร บีจี ปทุม ยูไนเต็ด เป็นไปได้อย่างราบรื่น และปรากฎผลงานในฤดูกาล 2019 กับแชมป์ไทยลีก 2 และอีก 4 นัดที่ผ่านมาของฤดูกาล 2020 บนเวทีลีกสูงสุด แน่นอนว่าทั้งคู่ยังมีภารกิจสำคัญคือการพาทัพ “เดอะ แรบบิท” ไล่ล่าความสำเร็จมาสู่สโมสรฯ และแม้ว่าจะยังตอบไม่ได้ว่าทั้งคู่จะทำภารกิจนั้นสำเร็จหรือไม่ แต่การทำงานร่วมกันด้วยความ “เคารพ” ซึ่งกันและกัน ให้ความ “ศรัทธา” ต่อกัน ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของความสำเร็จแล้ว