“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ไปไม่ถึงฝั่งฝัน หลังพลาดท่าแพ้ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ในคึกฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศ ที่สต๊าด เดอ ฟรองซ์ ชานกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จึงได้ยึดบัลลังก์เจ้าสโมสรยุโรปเป็นสมัยที่ 14 ไปเลย
เกมนี้ เจอร์เกน คลอปป์ กุนซือ ลิเวอร์พูล ได้ 2 กองกลางตัวหลัก ฟาบินโญ่ และ ติอาโก้ อัลคานทาร่า ฟิตกลับมาลงสนามเป็นตัวจริง ส่วนแนวรุกใช้ 3 ประสาน หลุยส์ ดิอาซ, ซาดิโอ มาเน่ และ โมฮาเม็ด ซาล่าห์
ด้าน เรอัล มาดริด ของกุนซือ คาร์โล อันเชลอตติ จัดผู้เล่นชุดใหญ่ลงสนามไปเลย นำทัพโดย โทนี่ โครส, ลูกา โมดริช, วินิซิอุส จูเนียร์ และ คาริม เบนเซม่า
ในช่วงครึ่งแรก ลิเวอร์พูล ทำได้ดีกว่าจากการทำเกมรุกเข้าใส่แบบต่อเนื่อง แต่ ธีโบต์ กูรตัวส์ ผู้รักษาประตู เรอัล มาดริด สามารถเซฟเอาไว้ได้ทั้งหมด ส่วน “ราชันชุดขาว” จัดการส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายได้ในนาทีที่ 43 จากจังหวะที่ คาริม เบนเซม่า ซัดบอลจากขลุกขลิกผ่านมือ อลิสซอน เบ็คเกอร์ นายทวาร “หงส์แดง” ตุงตาข่ายไปแล้ว แต่ภาพช้าจาก VAR ตัดสินให้เป็นลูกล้ำหน้าไปเสียก่อน จบครึ่งแรกยังเสมอแบบไร้สกอร์ 0-0 เข้าสู่ครึ่งหลัง เรอัล มาดริด มาได้ประตูชัยในนาทีที่ 59 จากจังหวะที่ เฟเดริโก้ วัลเวร์เด้ ลากบอลขึ้นมาทางขวาก่อนเปิดเรียดไปทางเสาไกลให้ วินิซิอุส จูเนียร์ส แปเข้าไปแบบจ่อๆ ไม่เหลือซาก หลังจากนั้น ลิเวอร์พูล พยายามบุกแหลกเพื่อตีไข่แตกให้ได้ แต่ ธีโบต์ กูรตัวส์ ยังคงโชว์ความเหนียวหนึบจากเซฟในเกมนี้เอาไว้ได้ทั้งหมดถึง 9 ครั้งเลยทีเดียว ซึ่งเป็นสถิติเซฟในเกมนัดชิงได้มากที่สุดไปเลยด้วย
หมดเวลาการแข่งขัน เรอัล มาดริด เป็นฝ่ายเฉือนชนะ ลิเวอร์พูล 1-0 ได้ผงาดคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ประจำฤดูกาล 2021/2022 ไปเลย และเป็นการยึดบัลัลงก์เบอร์หนึ่งในฐานะเจ้าสโมสรยุโรปเป็นสมัยที่ 14 ในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรไปเลยด้วย ส่วน “หงส์แดง” ทำได้ดีที่สุดเพียงรองแชมป์เท่านั้น