ข่าวฟุตบอลนัสตพล มาลาพันธ์ : สู่การติดทีมชาติไทยครั้งแรก
buaksib sport news
โพสต์รูปภาพ
01

 

ทีมชาติไทยเพิ่งคว้าคะแนนแรกในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก รอบ 12 ทีมสุดท้ายด้วยการเสมอกับ ออสเตรเลีย ทีมอันดับ 40 ของโลก และ อันดับ 2 เอเชีย ตามฟีฟ้า แรงกิ้ง 2-2 ก่อนมุ่งหน้าสู่การป้องกันแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2016

นอกเหนือระบบการเล่นใหม่ของ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ที่นำมาประเดิมใช้กับทัพซอคเกอร์รูส์เป็นครั้งแรกแล้ว ผู้เล่นหลายคนยังได้เริ่มต้นกับทีมชาติไทยชุดใหญ่ทั้งการออกสตาร์ทเป็นตัวจริงครั้งแรกของ สิโรจน์ ฉัตรทอง ,การลงเล่นทัวร์นาเม้นท์อย่างเป็นทางการครั้งแรกของ รุ่งรัฐ ภูมิจันทึก และการสวมชุดช้างศึกครั้งแรกของ นัสตพล มาลาพันธ์

กองหลังจาก ชลบุรี เอฟซี ถือเป็นหนึ่งใน 4 นักเตะขบวนสุดท้ายที่ถูกเรียกมาเสริมทีมและร่วมฝึกซ้อมอยู่ที่กิเลน วัลเลย์ ตลอด 16 วันจนมีชื่อติดทีมแข่งขันกับ ออสเตรเลีย แทน นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม แบ็กขวา ที่มีอาการบาดเจ็บ ก่อนจะได้ลงสนามแทนที่ อดิศร พรหมรักษ์ ในช่วง 8 นาทีสุดท้ายของเกมทันที และนี่คือเรื่องราวชีวิต แนวรับวัย 22 ปีที่สูง 182 ซม. รายนี้ก่อนจะเข้าสู่รั้วช้างศึกเป็นครั้งแรก

 

นัสตพล มาลาพันธ์  เป็นคนพื้นเพ จังหวัดชัยภูมิ เขาเริ่มเล่นฟุตบอลตอนอายุประมาณ 9 ขวบ ที่โรงเรียนบ้านระหัด  ทว่าด้วยความที่ครอบครัวมีฐานะยากจน หลังจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จึงถูกส่งไปอยู่โรงเรียนเทศบาล 1 วัดพระงาม ซึ่งถือเป็นโรงเรียนประจำใน จ.นครปฐม และนั่นถือเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางลูกหนังของเด็กหนุ่มวัยเพียงเพียง 12 ปี ที่ต้องจากบ้าน

“ผมเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 9 ขวบครับ เล่นแถวบ้านด้วยความสนุกสนานเหมือนเด็กทั่วไป เล่นตั้งแต่กองหลังยันกองหน้า อารมณ์เด็กบ้านนอกเวลาเตะเล่นใครอยากเล่นตำแหน่งไหนก็เล่นไปครับ แต่ส่วนใหญ่ผมจะเล่นกองหลังเพราะตัวใหญ่” นัสตพลเริ่มกล่าว

“หลังจบ ป.6 ด้วยความที่ครอบครัวเราไม่ค่อยมีเงิน พ่อแม่ก็ส่งผมไปเรียนกับญาติ ที่ จ.นครปฐม จะได้ประหยัดค่าใช้จ่ายเพราะเป็นโรงเรียนประจำ แล้วเขาบอกว่าให้เราไปสู้ชีวิตที่นครปฐม คนที่นั่นส่วนใหญ่จะมีฐานะ พ่อแม่ส่งให้เดือนละ 3-4 พัน แต่ผมใช้เดือนนึงไม่เกิน 500 บางทีผมใช้วันละ 10 บาท 20 บาท ครอบครัวส่งให้เท่านี้ แล้วเราก็อาศัยกินข้าวของโรงเรียนเพราะมีประจำให้ครบ 3 มื้ออยู่แล้ว ก็ไม่เคยคิดว่าโตมาจะมีเงินเดือนเหมือนทุกวันนี้”

แม้ชีวิตวัยเด็กของ นัสตพล มาลาพันธ์ จะไม่ได้เลิศหรูหรือสุขสบาย ได้ของเล่นเหมือนคนทั่วไป แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเลยสักนิด กลับกันเขายังได้รับแรงบันดาลใจจากการใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น โดยเฉพาะเรื่องฟุตบอล มีเมื่อโอกาสได้เห็น สุทธินันท์ พุกหอม ต้นแบบลูกหนังโลดแล่นอยู่บนฟลอร์หญ้าอย่างใกล้ชิด ในฐานะที่เขาเป็น “เด็กเก็บบอล”

“ผมเคยไม่เสียใจอะไร (เรื่องครอบครัว) อยู่ที่นั่นผมได้เล่นฟุตบอลมากขึ้น ผมจำได้ว่าช่วงนั้นฟุตบอลไทยกำลังบูมขึ้นมา มีข่าวเยอะแยะเต็มไปหมด ระหว่างอยู่ที่นั่น นครปฐม แข่งขันโปรวินเชียลลีก ผมเป็นเด็กเก็บบอลข้างสนามเกือบทุกนัด”

“ผมชื่นชอบพี่เอ็ม (สุทธินันท์ พุกหอม) มากๆ เขาเป็นกองหลังที่ทุ่มเท ดุดัน มันทำให้ผมเกิดแรงบันดาลใจ อยากไปยืนตรงจุดนั้นสักครั้ง และวาดฝันมาตลอดว่าอยากไปเล่นเคียงข้างพี่เอ็ม แต่ตอนนั้นผมเป็นเด็กเก็บบอล ไม่เคยบอกหรือคุยกับพี่เขาเป็นการส่วนตัวเลยครับ”

หลังจากนั้นชีวิตของเด็กเก็บบอลอย่าง นัสตพล มาลาพันธ์ ก็เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเขาแสดงให้เห็นถึงพรวรรค์เชิงฟุตบอลจากรายการกรมพละศึกษา จนได้ย้ายไปอยู่กับสถาบันชื่อดังอย่าง โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยา ตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 พร้อมนำทีมคว้าแชมป์กีฬาฟุตบอล 7 สี โดยการเอาชนะ โรงเรียนกีฬากรุงเทพ ที่มี ธนบูรณ์ เกษารัตน์ เป็นกัปตันทีมด้วยสกอร์ 6-4 ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดในชีวิต

“เป็นโอกาสดีมากๆครับ เพราะช่วงนั้นเพื่อนตำรวจ เข้ามาทำอคาเดมี่ของโรงเรียนพอดี ตอนนั้นเป็นยุคของ พี่วัง (ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล) ผมเลยได้โอกาสเซ็นสัญญา ก็เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นตามหาฝัน ผมอาจไม่ใช่คนเก่ง แต่ผมคิดว่าผมเป็นคนที่มุ่งมั่น ขยัน เราเป็นเด็กบ้านนอก คนอื่นวิ่ง 50 ผมต้องวิ่งเกิน 100”

และเขายังจำไม่ลืมกับวินาทีที่แรกที่ได้เซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอบอาชีพ กลายเป็นเด็กวัย 17 ปีที่เริ่มแบ่งเบาภาระครอบครัวได้แล้ว

“ผมจำได้ดีเลยครับ ผมดีใจมากๆ เงินเดือนก้อนแรกผมได้ 3,000 บาท สำหรับผมถือว่าเยอะนะ ผมรีบโทรศัพท์ไปบอกที่บ้านก่อนเลย เขาก็ดีใจด้วย และผมก็แบ่งให้ที่บ้านทุกเดือน เดือนละ 1,000 บาท”

จากนั้นเส้นทางลูกหนังของ นัสตพล มาลาพันธ์ เริ่มสดใส่ขึ้นเรื่อยๆ เขาขยับจากการเป็นเยาวชนสโมสรเพื่อนตำรวจ มาเป็นหนึ่งในผู้เล่นชุดคว้าแชมป์ดิวิชั่น 2 โซนภาคกลางและตะวันออก เมื่อปี 2013 กับสโมสร ลูกอีสาน การบินไทย

“ผมรู้สึกดีใจมากๆครับ เพราะเราขยับจากเยาวชนเพื่อนตำรวจ มาเล่นกับลูกอีสาน ที่อยู่ในดิวิชั่น 2 เราเองก็ได้พัฒนาฝีเท้าขึ้นด้วย เงินเดือนตอนนั้นก็เพิ่มขึ้นมา 12,000 บาท โทรศัพท์ไปบอกพ่อแม่ เขาแทบไม่เชื่อว่าฟุตบอลจะสามารถสร้างให้ผมมีรายได้”

ทุกอย่างกำลังไปด้วยสวย ทว่าสุดท้ายถนนลูกหนังของ นัสตพล มาลาพันธ์ ก็ต้องพบอุปสรรคอีก เมื่อสโมสรเพื่อนตำรวจมีการเปลี่ยนแปลงบอร์ดบริหาร ส่งผลให้ต้องแยกทางกับ ลูกอีสาน การบินไทย ก่อนที่เจ้าตัวจะย้ายมาอยู่กับ นนทบุรี เอฟซี และที่แห่งนี้เขาเกือบท้อเพราะรสชาติของการเป็นนักฟุตบอลอาชีพจริงๆ

“เป็นจุดพลิกผันมากๆเพราะตอนนั้นลูกอีสานไม่ได้เป็นอคาเดมี่ของเพื่อนตำรวจแล้ว ผมก็เลยต้องมาอยู่กับ นนทบุรี เอฟซี แต่ผลงานช่วงนั้นไม่ดี เบียดแย่งตำแหน่งตัวจริงไม่ได้ ผมยอมรับว่าท้อมาก อยู่ในจุดที่ผมอ่อนแอแบบไม่เคยเป็น”

“อารมณ์ตอนนั้นไม่อยากเล่นแล้ว แต่สุดท้ายผมก็คิดได้ว่าผมมาจากศูนย์นะ พ่อแม่ส่งเรามาไกลแล้ว ก็เลยคิดในใจว่าต้องสู้ต่อ มันรู้สึกเหมือนว่าที่นี่เป็นสังคมฟุตบอลอาชีพจริงๆ เพียงแค่ผมปรับสภาพไม่ได้”

“แต่สุดท้ายผมก็เคว้งอีก เพราะแม้ว่าผมจะพร้อมสู้ต่อ แต่ผมก็โดนยกเลิกสัญญา ตอนแรกๆไม่กล้าบอกที่บ้าน แต่ก็ต้องบอก เขาก็เข้าใจ ไม่ได้ว่าอะไรเรา ก็ให้กำลังใจอยู่ตลอดครับ”

 

02

 

ท่ามกลางชีวิตอันหมองม่นจู่ๆ นัสตพล มาลาพันธ์ เหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง เมื่อเขาได้รับโอกาสจาก เพื่อนตำรวจ  ซึ่งขณะนั้นคุมทีมโดย อรรถพล ปุษปาคม กุนซือผู้ล่วงลับ เรียกเข้าไปเซ็นสัญญา และในวันที่ทีมล้มลง เงินเดือนไม่ออกกว่าครึ่งปี เขาก็เป็นหนึ่งในผู้เล่นเพียงไม่กี่รายที่อยู่ร่วมหัวจมท้าย พาทีมคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 เพราะตระหนักถึงโอกาสที่ได้รับตั้งแต่ต้น

“เหมือนเป็นดวงผมด้วย ระหว่างที่ผมไม่มีทีม จู่ๆทีมงานพี่แต๊ก (อรรถพล ปุษปาคม) ก็เรียกผมไปเซ็นสัญญา ก็อาจเป็นเพราะเคยเห็นผมตอนเป็นเยาวชน ตอนนั้นดีใจมาก รีบโทรไปบอกพ่อแม่ ว่ามีเงินเดือนส่งกลับไปให้แล้วนะ อีกทั้งได้เล่นในดิวิชั่นที่สูงขึ้นด้วย”

“แต่ก็เกิดจุดพลิกผันอีกเมื่อเงินไม่ออก 6 เดือน เคว้งมากๆ แต่ตอนนั้นมันเหมือนเป็นครอบครัวแล้ว ทิ้งไม่ได้ ผมก็โตมาจากที่นี่ด้วย ซึ่งใครไม่มาสัมผัสคงไม่รู้รสชาติว่าเป็นยังไง เรารักกันมากๆ รุ่นพี่อย่าง พี่เก่ง (สุรชาติ สาริพิมพ์) ไม่ทิ้งพวกผม พวกผมก็ไม่ทิ้งพี่ สุดท้ายเราอยู่ด้วยกันจนจบ ร้องให้ตอนทราบว่าสโมสรจะยุบทีม แต่ก็เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของฟุตบอล”

หลังจากผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากไปได้ ชีวิตค้าแข้งของ นัสตพล มาลาพันธ์ ก็เริ่มสดใสอีกครั้งเมื่อพลันทีที่จบฤดูกาล 2015 เขาได้รับการติดต่อจาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งเมืองไทย ซึ่งตัวเขาแทบไม่อยากเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง – เช่นเดียวกับคนในครอบครัว

“ปลายสายที่ได้ยินผมแทบไม่เชื่อว่า บุรีรัมย์ ติดต่อมา ผมถามย้ำหลายรอบมากว่าจริงหรือเปล่าวครับ เขาก็บอกว่าจริงๆ เขาให้เหตุผลว่าบุรีรัมย์กำลังต้องการสร้างกองหลัง ตอนนั้นเงินเดือนเท่าไหร่ผมไม่รู้ ผมตกลงเลยทันที เพราะ 6 เดือนที่ผ่านมาผมไม่ได้รับเงินเดือน”

“วันรุ่งขึ้นผมก็ไปเซ็นสัญญา วินาทีนั้นผมยังไม่เชื่อเลยว่าเป็นเรื่องจริง หรือแม้ตอนที่ผมโทรไปบอกพ่อแม่ เขาก็ยังไม่เชื่อ แต่สุดท้ายเขาก็ดีใจกับเรา ผมคิดว่าเป็นความอดทนและสู้ของผมในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผมก้าวมาถึงจุดนี้ได้”

อย่างไรก็ตามแม้ นัสตพล มาลาพันธ์ จะมีโอกาสอยู่กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เพียงแค่เลกแรก แต่เขาก็ชี้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมมาก โดยเฉพาะในวัยเพียงแค่ 22 ปี เขามีโอกาสสัมผัสศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ถึง 5 นัด ก่อนย้ายไปอยู่กับ ชลบุรี เอฟซี ที่มี สุทธินันท์ พุกหอม ไอดอลวัยเยาว์ค้าแข้งอยู่ และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาเลือกไปอยู่ที่นั่น

“ตอนแรกที่ผมไปบุรีรัมย์ ผมตื่นเต้นมากๆ แต่ไม่ได้กลัวนะ รู้สึกท้าทายมากกว่า แม้สุดท้าผมจะอยู่ที่นั่นแค่ 6 เดือน แต่ผมคิดว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมมากๆ มันหาซื้อที่ไหนไม่ได้ ผมได้เล่นเคียงข้างนักเตะเก่งๆ ได้เล่นไทยลีกครั้งแรก และยังได้เล่นเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ครั้งแรกด้วย”

“ตอนที่จะย้ายก็มีทีมอื่นติดต่อเข้ามา แต่ผมเลือกไปชลบุรี เอฟซี เพราะ เป็นทีมใหญ่ ผมยังอยากเล่นไทยลีก และที่สำคัญเป็นความฝันของผมอยู่แล้วที่อยากเล่นกับพี่เอ็ม (สุทธินันท์ พุกหอม)”

“อย่างไรก็ตามแม้ผมจะยังไม่ได้เล่นด้วย เพราะพี่เอ็ม (สุทธินันท์ พุกหอม) เจ็บอยู่ แต่ผมก็บอกเขาไปว่าที่ผมมาชลบุรี ก็เพราะอยากเล่นกับพี่ เขาก็ยิ้มๆแล้วบอกว่าให้รอไปก่อน แต่เขาไม่เคยรู้นะว่าครั้งหนึ่งผมเคยเก็บบอลให้เขาที่ นครปฐม”

สุดท้ายแม้ว่าความฝันการเล่นเคียงข้างกับ สุทธินันท์ พุกหอม จะยังไม่เกิดขึ้นจริง แต่ก็ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เมื่อ ชลบุรี เอฟซี มอบโอกาสให้เขาลงเล่นอย่างสม่ำเสมอ โชว์ฟอร์มได้อย่างแข็งแกร่งจนล่าสุดถูก เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย เรียกไปติดธงไตรรงค์เป็นครั้งแรก – และนี่ถือเป็นอีกหนึ่งความฝันของเขาเช่นกัน

“ผมต้องขอบคุณผู้ใหญ่ของชลบุรี พี่เทิด (เทิดศักดิ์ ใจมั่น) ที่ให้โอกาสผม ทุกครั้งที่ผมได้โอกาส ผมเต็มที่ทุกวินาที ผมคิดเสมอว่าผมมาอยู่ ชลบุรี ต้องดีกว่าอยู่ที่ บุรีรัมย์”

“ผมไม่เคยคิดจริงๆว่าจะติดทีมชาติ ตอนที่ผมทราบข่าวผมก็ยังไม่อยากเชื่อ โทรไปบอกที่บ้าน เขาก็ดีใจกันยกใหญ่ เพราะผมเริ่มจากศูนย์ มาจากเด็กบ้านนอก แต่ผมยังต้องปรับตัวอีกมาก ผมยังไม่อยากคาดหวังอะไร แต่ที่ผมรู้ แค่ผมมีส่วนร่วม 1 นาทีกับทีมชาติไทยมันก็เกินฝันของผมแล้ว”

 

เครดิต : fathailand

buaksib sport newsbuaksib sport news