ล่าสุด ได้ดูฟอร์มการออกสตาร์ทของทีมน้องใหม่จากลีกภูมิภาคอย่าง อุบล ยูเอ็มที ยูไนเต็ด ขึ้นมาสั่นสะเทือนเวทียามาฮ่า ลีก ดิวิชั่น 1 ได้อย่างสุดเซอร์ไพรส์ เมื่อ 6 เกมแรกของฤดูกาลยังไม่แพ้ใคร เก็บได้ 12 คะแนน ยึดรองจ่าฝูงในช่วงเบรกเทศกาลสงกรานต์
นอกจากผลงานของทีมจะถูกพูดถึงอย่างมากแล้ว ฟอร์มการเล่นของนักเตะเทพอินทรีคนหนึ่งก็ถูกจับจ้องไม่แพ้กัน ด้วยรูปร่างที่แข็งแกร่ง และสไตล์การเล่นที่วิ่งไม่มีหมด นั้นทำให้ “สิโรจน์ ฉัตรทอง” กลายเป็นขวัญใจของแฟนบอลอุบลไปในทันทีทั้งที่เพิ่งย้ายร่วมทีมเป็นปีแรก
ทุกวันนี้เขาได้รับฉายาว่า “บัวขาว” ตามสรีระรูปร่างที่คล้ายกับยอดนักมวยไทยชื่อดัง แต่รู้หรือไม่ว่ากว่าจะมาอยู่ในจุดนี้ได้ ชีวิตของเด็กหนุ่มวัยย่าง 24 ปีจากจังหวัดสุรินทร์คนนี้ ผ่านอะไรมากมายเหลือเกิน
“ผมเป็นเด็กที่ชอบเล่นฟุตบอลครับ แต่ไม่มีพื้นฐานอะไรเลย พูดง่ายๆ คือเล่นเอาสนุก ฝีเท้าเอาไว้ทีหลัง ส่วนชีวิตนอกเหนือจากนั้นก็เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไป มีเงินก็เข้าร้านเกม สนุกไปวันๆ”
แต่แม้จะไม่มีเบสิคและเทคนิคในเชิงลูกหนังอะไร เขามีแค่ “ใจ” ที่รักในกีฬาชนิดนี้ทำให้เจ้าตัว ตัดสินใจถือรองเท้าสตั๊ดเข้าไปคัดตัวกับสโมสรสุรินทร์ เอฟซี ที่เป็นสมาชิกในลีกภูมิภาค โซนอีสาน ร่วมกับนักฟุตบอลทั่วทุกสารทิศที่หวังจะใช้อาชีพนักฟุตบอลในการเลี้ยงชีพ
“เกิดจากความอยากล้วนๆ ครับ เพราะรู้อยู่แล้วว่าโอกาสติดแทบจะไม่มี แปบอลก็ไม่ตรง จับบอลก็ไม่อยู่ แต่ผมอาศัยลูกถึก วิ่งอย่างเดียว ซึ่งจุดนี้อาจจะไปถูกใจโค้ชอย่าง พี่โก้ (ฐปกร ดีมาก) แกเลยให้ผมมาซ้อมกับทีม ซึ่งแน่นอนผมดีใจมากที่จะได้มีส่วนร่วมกับทีมจังหวัดของตัวเอง”
แม้การได้เป็นส่วนหนึ่งในทีมสุรินทร์ เอฟซีในตอนนั้นสิโรจน์ได้เพียงแค่เข้ามาร่วมฝึกซ้อมกับทีม โดยไม่มีค่าตอบแทนใดๆ ไม่ได้แม้กระทั่งชุดซ้อม เสื้อผ้าต้องเตรียมมาเองจากบ้าน แต่สิ่งที่เขาได้มากกว่าเงินทองคือการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการเล่นฟุตบอล
“ผมได้เรียนรู้อะไรเยอะมากจากการไปร่วมซ้อมกับทีม จากเด็กที่ไม่มีเบสิกอะไรเลย ก็ดูจากพี่ๆ ในทีมแล้วเอาไปปรับใช้กับตัวเอง แต่อยู่ได้ 2 เดือนในทีมก็มีการเปลี่ยนแปลง พี่โก้ไม่อยู่กับทีมแล้ว ทำให้ผมก็ต้องออกจากทีมด้วย”
หลังจากนั้นเขาก็เล่นฟุตบอลไปตามประสาเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่ง เดินสายเล่นไปเรื่อย จนได้มีโอกาสเป็นตัวแทนจังหวัดลงทำการแข่งขันฟุตบอลโค้กคัพ ที่จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเขาพาทีมเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ
“ตอนเล่นโค้กคัพผมถูกจับไปเล่นเซนเตอร์ อาจจะไม่ถนัดเท่ากับการเล่นกองหน้าหรือปีกที่เล่นมาตลอด แต่มันก็สนุกดี เราวิ่งแซงกองหน้าได้สบายๆ (หัวเราะ) แล้วหลังจากจบโค้กคัพ พี่โก้ก็ติดต่อมา และชวนไปเล่นให้กับทีม นนทบุรี เอฟซี ที่แกไปโค้ช”
ช่วงระยะเวลานั้นเองที่สิโรจน์เริ่มฟิตซ้อมร่างกายอย่างหนัก เพื่อเตรียมตัวไปตามคำชักชวนของโค้ชที่เคยให้โอกาสในการเล่นฟุตบอลครั้งแรกกับเขา และนี่คือที่มาของร่างกายที่กำยำจนเป็นเอกลักษณ์ของเขาในทุกวันนี้
“ตอนที่พี่โก้โทรมาชวน ผมมีเวลาฟิตร่างกายเกือบ 2 เดือน ช่วงนั้นฟิตซ้อมหนักมาก ตื่นตี 5 มาวิ่งทุกวัน เล่นเวทวันละหลายชั่วโมง ตกเย็นก็ไปเล่นฟุตบอล ซ้อมเองแบบนี้ตลอด ทำผิดบ้างถูกบ้าง แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือรูปร่างของเราเปลี่ยนไป จากเด็กผอมๆ หัวโตๆ ก็มีกล้ามเนื้อมากขึ้น จนหลายคนเริ่มทักว่าดูตัวใหญ่ขึ้น พอคนยิ่งทักเราก็ยิ่งฮึกเหิม เล่นเวทไปกันใหญ่เลย (หัวเราะ) ทุกวันต้องซิทอัพเล่นกล้ามท้อง ยกเหล็กวันหนึ่งหลายชั่วโมง ทำจนติดเป็นนิสัยถึงทุกวันนี้”
และนี่คือจุดเปลี่ยนในชีวิตของเด็กบ้านนอกอย่างเขา เมื่อตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะเดินตามความฝันการเป็นนักฟุตบอล ด้วยการบินเดี่ยวเข้าเมืองหลวงคนเดียวเป็นครั้งแรกในชีวิต
“ผมขอเงินแม่กับพี่สาวได้ 2,000 บาท ตอนนั้นอายุประมาณ 18-19 ปี เงินขนาดนั้นเยอะมากสำหรับเด็กอย่างผม นั่งรถทัวร์เดินทางเข้ามากรุงเทพฯ ค่ารถ 400 กว่าบาท มาถึงหมอชิต ก็มาตามทางที่โค้ชจดไว้ให้ นั่งรถตู้ต่อมาลงแถวเกษตร-นวมินทร์ ถึงประมาณตี 4 กว่า โทรหาโค้ชไม่ติด ก็นั่งโทรที่ป้ายรถเมล์คนเดียวอย่างนั้นจนตี 5 กว่า เห็นท่าไม่ดี เพราะวันรุ่งขึ้นต้องลงทีม คิดว่าถ้าไม่ได้นอนคงไม่ไหว เลยตัดสินใจโบกแท็กซี่ให้พาไปโรงแรมที่ใกล้ที่สุด ตอนนั้นไม่รู้เลยว่าแท็กซี่เขาต้องกดมิเตอร์ คนขับบอกคิด 200 บาท เราก็ตกลง นั่งไปแปปเดียวถึงโรงแรมแล้ว เข้าใจตอนนั้นเลยว่าโดนหลอกแน่ๆ บ้านนอกเข้ากรุงมันเป็นแบบนี้นี่เอง (หัวเราะ)”
สุดท้ายเจ้าตัวก็ได้เข้าพักโรงแรม ซึ่งพอจ่ายค่าที่พักดูเงินในกระเป๋าที่เหลือไม่ถึงพัน เขาก็ได้แต่ภาวนาในใจว่าให้โค้ชโทรกลับมา เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้นนอกจากจะไม่ได้เล่นฟุตบอลอย่างที่ฝันเอาไว้แล้ว คงจะกลายเป็นคนจรจัดไม่มีเงินติดตัวในเมืองหลวงเป็นแน่
“นอนไม่ถึง 2 ชั่วโมง พี่โก้ก็โทรมาให้นั่งแท๊กซี่ไปหา รอบนี้กดมิเตอร์แล้วครับ (หัวเราะ) พอเจอหน้าพี่โก้ ผมนี่น้ำตาไหลเลย รู้ว่ารอดตายแล้ว แต่ปัญหาของผมคือจะต้องลงทีม นอนก็ไม่อิ่ม ข้าวก็ไม่ได้กิน ได้กินขนมปังชิ้นเดียว จำได้ว่าเขาคัดตัวด้วยการลงทีมกับไทยฮอนด้า แดดร้อนมาก ผมลงไปทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่รู้อย่างเดียวคือต้องวิ่งให้ถึงที่สุด จำได้ว่าวิ่งจนหน้ามืด สุดท้ายเขาให้มานั่งร่วมกันแล้วจะประกาศชื่อ 30 คนที่ผ่านคัดตัวรอบแรกจะได้ไปเก็บตัวที่เขาใหญ่ต่อ ตอนนั้นนั่งก้มหน้าแล้วครับ รู้เลยว่าไม่ติดแน่ๆ สุดท้ายผมมีชื่อติดทีมไปด้วย ดีใจสุดๆ เป็นอารมณ์ที่บอกไม่ถูกจริงๆ”
แต่การต่อสู้เพื่อได้เล่นฟุตบอลอาชีพของเขายังไม่จบ เพราะการเดินทางไปเก็บตัวที่เขาใหญ่ในครั้งนี้ ก็เพื่อเป็นการแข่งขันกันภายในทีม โดยทั้ง 30 คนที่ถูกคัดเข้ามามีสัญญาอาชีพเป็นเดิมพัน
“ผมยังเหมือนเดิม คือสู้คนอื่นเขาไม่ได้เลย เล่นลิงชิงบอล ก็เป็นลิงตลอด แถมโดนลอดขาประจำ คนอื่นๆ เขามีดีกรีกันหมด มาจากโรงเรียนดังบ้าง เป็นเยาวชนทีมชาติบ้าง มีผมคนเดียวโนโปรไฟล์ แถมฝีเท้าไม่ได้เรื่อง แต่อาศัยความขยันเข้าสู้ ใครสั่งอะไรทำหมด ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าฝีมืออาจเป็นรอง แต่ความพยายามผมไม่เคยเป็นรองใคร”
หลังจากผ่านการเก็บตัวที่แคมป์เขาใหญ่ ในแต่ละวันนักฟุตบอลที่ทำผลงานในการฝึกซ้อมได้ดี ก็จะได้รับสัญญา ซึ่งสิโรจน์ก็ได้แต่เฝ้ามองคนอื่น และรอโอกาสของตัวเองอย่างใจจดใจจ่อ
“ยอมรับเลยว่าเริ่มอิจฉาคนอื่นที่ได้สัญญา ได้เสื้อ ได้เบอร์เป็นของตัวเอง เราอยากได้แบบเขาบ้าง ก็ใช้ความน้อยใจตรงนั้นเปลี่ยนมาเป็นพลังในการซ้อมให้มากขึ้น สุดท้ายผมก็ได้สัญญา จำได้เลยตอนนั้นไม่ได้เงินเดือน แต่ได้เบี้ยเลี้ยงซ้อมวันละ 300 บาท มีโบนัสถ้าชนะได้ 100 บาท เดือนๆ หนึ่งก็ได้ตก 6,800 บาท เหมือนฝันมากครับตอนนั้น ที่ได้เล่นฟุตบอล แถมหาเงินได้ด้วย”
ปี 2012 จึงเป็นปีแรกที่เด็กหนุ่มอย่าง สิโรจน์ ได้ลงเล่นในลีกอาชีพของเมืองไทยกับนนทบุรี เอฟซี แม้จะเป็นตัวสำรองเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เขาก็ได้รับโอกาสลงสนามบ้างในบางเกม โดยลงเล่นในตำแหน่งปีกและกองหน้า ก่อนสร้างผลงานทำได้ 3 ประตูในฤดูกาลนั้น
“พอจบปีนั้นสัญญาของผมกับอีกานนท์ก็หมด พี่โก้ก็ไม่ได้ทำทีมต่อ เป็นจังหวะที่ทีมอย่าง กรุงเทพคริสเตียน (บีซีซี เอฟซี ปัจจุบัน) ยื่นข้อเสนอเข้ามาให้ผมไปคัดตัว พอคัดติด วันแรกที่เปิดสัญญาดูตกใจมาก เพราะเขาให้เงินเดือน 38,000 บาท รีบเซ็นแบบไม่รอเลย (หัวเราะ) กลับบ้านไปขนข้าวของ ผ้าห่ม มาเปิดห้องเช่าใหม่ ได้นอนห้องแอร์เสียที หลังจากก่อนหน้านี้ต้องนอนที่พักฟรีของสโมสรมาตลอด”
และกับสโมสรชงโคสีม่วงนี่เองที่ทำให้เจ้าตัวพัฒนาฝีเท้าอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นกำลังหลักสำคัญในการพาทีมลุ้นอันดับไปเล่นรอบแชมเปี้ยนลีกทุกปี จนไปเตะตาทีมใหญ่อย่างแบงค็อก ยูไนเต็ด ในยุคของ “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ
“ปีที่สองที่ผมเล่นกับบีซีซี เทโร พี่เตี้ยให้ผมเข้าไปซ้อมกับทีมแบงค็อก ยูไนเต็ด และมีท่าทีว่าจะเซ็นสัญญากับผม แต่ช่วงนั้นมีเรื่องการเกณฑ์ทหารเข้ามา ทำให้มีเงื่อนไขบางอย่างที่ทำให้ไม่ได้ไปเล่นกับบียูและต้องอยู่กับบีบีซีต่อ”
เขาสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะในปี 2014 และ 2015 ที่พาทีมทำอันดับไปเล่นรอบแชมเปี้ยนลีกส์ได้สำเร็จ แต่เมื่อที่ปีก่อน บีซีซี เทโร ถูกตัดสิทธิ์ในช่วงท้ายฤดูกาล อดเข้าไปชิงตั๋วไปลุยยามาฮ่า ลีก ดิวิชั่น 1 อย่างน่าเสียดาย
“ปี 2015 ผมยิงไป 10 ประตูให้กับทีม ทำให้หลายทีมเริ่มสนใจในตัวผม จนสุดท้ายเป็นอุบล ยูเอ็มที ที่ได้เลื่อนชั้นขึ้นสู่ยามาฮ่า ลีก ดิวิชั่น 1 ยื่นข้อเสนอยืมตัวหนึ่งฤดูกาล ผมไปเก็บตัวกับทีมได้ไม่ถึง 3 วัน สุดท้ายอุบลตัดสินยื่นข้อเสนอซื้อขาดกับผมทันที”
ฤดูกาล 2016 ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการยกระดับตัวเองขึ้นมาเล่นในลีกรองของเมืองไทยเป็นครั้งแรกของสิโรจน์ และด้วยไสตล์การเล่นแบบวิ่งสู้ฟัด กัดไม่ปล่อย ทำให้เขากลายเป็นขวัญใจของแฟนบอลอุบลอย่างรวดเร็ว แถมสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมด้วยการยิงไป 1 ประตู กับ 2 แอสสิส และเรียกจุดโทษให้กับทีมได้อีก 1 ลูก จาก 6 เกมแรกของฤดูกาล
“ต้องให้เครดิตกับโค้ชสก็อต (คูเปอร์) เขาเป็นโค้ชที่เก่งมาก รู้ว่าจะดึงศักยภาพในตัวผมออกมายังไง และการลงเล่นต่อหน้าแฟนบอลอุบลเป็นอะไรที่วิเศษมาก แฟนบอลที่นี่ไม่เคยด่าทีมและนักบอลตัวเอง พวกเขาให้กำลังใจทีมตลอดไม่ว่าผลการแข่งขันจะออกมาเป็นอย่างไร มันยิ่งทำให้นักฟุตบอลอย่างจะโชว์ฟอร์มให้ดีในทุกเกมที่ลงเล่น”
และด้วยฟอร์มที่โดดเด่นตั้งแต่เริ่มต้น ทำให้หลายทีมใหญ่เริ่มจับตามองเขาตาเป็นมัน จนทำให้อุบล ยูเอ็มที ตัดสินใจขยายสัญญาของสิโรจน์เพิ่มอีก 1 ปีทันที
“ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมาอยู่ในจุดนี้ได้ จากเด็กบ้านนอก ที่มีชีวิตไปวันๆ ตอนนี้ผมก้าวมาอยู่ในจุดที่เคยฝันเอาไว้แล้ว แต่ผมยังคงต้องพัฒนาตัวเองอีกมาก ผมยังไม่เก่งเลยถ้าเทียบกับคนอื่นในทีม ยังต้องแก้ไขข้อบกพร่องที่มีอีกเยอะ”
ในวัย 24 ปี สิโรจน์ ฉัตรทอง อาจจะผ่านการต่อสู้ในชีวิตมาเยอะ แต่การขับเคี่ยวในสนามยังมีอะไรอีกมากที่รอเขาอยู่ คงต้องรอติดตามว่า “บัวขาว แห่งทัพเทพอินทรี” คนนี้จะสามารถพาอุบล ยูเอ็มที ยูไนเต็ด ขึ้นชั้นไปเล่นลีกสูงสุดอย่างที่เจ้าตัวตั้งเป้าหมายเอาไว้ได้หรือไม่
ข้อมูลข่าว : https://www.d1.in.th/article/125/